คืนเงินอุดหนุน8.8แสนให้กกต. ลั่นฟ้องดะนักวิจารณ์เลิกพรรคปชช.
"ไพบูลย์" คืนเงินอุดหนุน8.8แสนให้กกต. เร่งกระบวนการยกเลิกพรรคปชช. ย้ำสถานะส.ส.มาตามกฎหมาย ไม่กระทบลำดับปาร์ตี้ลิสต์ พปชร. ลั่นไม่ขัดอุดมการณ์ ปชช.หนุนบิ๊กตู่ชัด ยันฟ้องดะผู้วิจารณ์ ขอเป็นซามูไรกฎหมาย ประเดิมฟ้องหมิ่น "บุญยอด-เจษฏ์"
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เวลา 10.30 น. นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) นำแคชเชียร์เช็คจำนวน 882,909.67 บาท ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนที่พรรคได้รับการจัดสรรจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองมาคืนให้กับกกต. เนื่องจากหากรอ กกต. ประกาศให้พรรคสิ้นสภาพในราชกิจจานุเบกษา ตนก็จะไม่มีอำนาจที่จะคืนเช็ค เพราะถือว่าพ้นจากการเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคแล้ว อีกทั้งต้องการสร้างบรรทัดฐานในทางการเมืองว่า เมื่อเลิกพรรคแล้วก็ควรคืนเงินอุดหนุนเป็นอันดับแรก
และเมื่อมีประกาศ กกต.ในราชกิจจานุเบกษาให้พรรคสิ้นสภาพแล้ว ตนก็จะนำส่งงบการเงินมาให้นายทะเบียนพรรคภายใน 30 วัน จากนั้นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้ามาตรวจสอบการชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน ซึ่งตนก็จะมีหน้าที่เป็นอดีตหัวหน้าพรรคที่ต้องชี้แจงการใช้เงินของพรรคเท่านั้น จึงไม่รอให้การชำระบัญชีเสร็จแล้วจึงจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้ ดังนั้นการที่มีเจ้าหน้าที่ของกกต.ออกมาแสดงความเห็นว่าตนต้องชำระบัญชีให้แล้วเสร็จก่อน จึงเป็นการให้ข้อมูลกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง กกต.ควรที่จะตรวจสอบและตักเตือน
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ตนจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และจะถือว่าเป็นส.ส.ของพรรคพปชร. จากนั้นจะมาขอหนังสือรับรองจากนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อนำไปยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลในเรื่องของลำดับส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยตนถือเป็นเพียงส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคพปชร. เท่านั้น แม้มีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งต้องการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ ตนเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือถูกกระทบ เพราะตนมาเป็นส.ส.บัญชีของพรรคพปชร. ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 101 ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับต้องไปคำนวณใหม่เลย รวมทั้งหากมีการคำนวณคะแนนใหม่จริงโดยที่พรรคประชาชนปฏิรูปยังไม่สิ้นสภาพ ตนก็อยู่ในเซฟโซนเพราะยังมีอีก 5 พรรค หรือมีส.ส.อีก 5 คน ที่มีคะแนนน้อยกว่าตน
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า เร็วๆนี้ จะยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทกับนายบุญยอด สุขถิ่นไทย สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเห็นในลักษณะกล่าวหาว่าตนทรยศต่อเสียงประชาชนที่เลือกพรรคประชาชนปฏิรูป และนายเจษฎ์ โทณวณิก ที่แสดงความเห็นว่า ยุบพรรคเหมือนการเผาบ้านเพื่อเอาประกัน ยืนยันว่าสิ่งที่ตนดำเนินการไปตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้และการย้ายไปเป็นสมาชิกพรรคพปชร. ก็ไม่ได้เป็นการทรยศต่อผู้ที่เลือก มาเพราะพรรคประชาชนปฏิรูปได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ และนโยบายพรรคก็สอดคล้องกัน โดยเฉพาะการนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสู่การให้ประชาชนนำไปปฏิบัติ
“คนที่ออกมาวิจารณ์ มั่นใจว่าไม่ได้เป็นผู้ที่เลือกพรรคประชาชนปฏิรูปและไม่ชอบพรรคพปชร. จริงๆ แล้วคนเหล่านี้ไม่มีสิทธิที่จะพูด และยืนยันว่า เรื่องการยุบเลิกพรรคไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และกรณีนี้ไม่ใช่การควบรวมพรรค เพราะไม่ใช่การนำสมาชิกและทรัพย์สินของพรรคมารวมแล้วตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ดังนั้นที่วิพากษ์วิจารณ์กันตอนนี้จึงเป็นการสร้างวาทะกรรม บิดเบือนข้อกฎหมาย โจมตีใส่ความให้ตนเสียหาย จึงคิดว่าถึงเวลาที่ต้องมาตรวจสอบนักวิชาการที่ตนของเรียกว่านักวิชาเกิน ที่แสดงความเห็นบิดเบือนกฎหมาย ทำให้สังคมเกิดความสับสน จากนี้ผมจะทำหน้าที่เหมือนซามูไรด้านกฎหมาย ใครอย่าเข้ามาใส่วงดาบของผมก็แล้วกัน ถ้าหากพูดบิดเบือน ผมจะฟ้องให้เป็นบรรทัดฐาน ส่วนใครอยากจะโดนผมฟ้องอีกก็เชิญออกมาวิพากษ์วิจารณ์ได้” นายไพบูลย์กล่าว