"สมศักดิ์" แถลงฉีกสัญญาเช่าใช้กำไลอีเอ็ม ไม่จ่ายค่าเช่า 74 ล้าน พร้อมฟ้องเรียกค่าปรับเอกชนคู่สัญญา 84 ล้านบาท ระบุชัดทำราชการเสียหายหนัก ด้านกรมคุมประพฤติแจ้งศาลขอเพิกถอนใช้อุปกรณ์ติดตามตัวกับผู้ถูกคุมประพฤติ 500 รายทั่วประเทศ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงยกเลิกสัญญาเช่าใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไลอีเอ็มกับบริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น(ไทยแลนด์) จำกัด หลังพบว่ามีข้อบกพร่องและไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยก่อนหน้านี้กรมคุมประพฤติได้ทำสัญญาเช่าใช้กำไลอีเอ็มเพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิด จำนวน 4,000 เครื่องเป็นเวลา21เดือนตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 ถึงเดือนกันยายน 2563 ในวงเงินงบประมาณจำนวน 74, 470,000 บาท และต่อมาเมื่อตรวจสอบพบข้อเท็จจริงว่าอุปกรณ์ดังกล่าว สามารถถอดออกได้ โดยเกิดจากความบกพร่องของตัวอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะไม่ตรงตามทีโออาร์ที่กำหนดไว้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่งหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่ากับบริษัท สุพรีมฯ และเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมากรมคุมประพฤติได้แจ้งให้บริษัทสุพรีมฯได้รับทราบการยกเลิกสัญญาและขอให้ชดใช้ค่าปรับเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 83,825,810 ล้านบาท
สำหรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แยกเป็น 4 ประเด็น ดังนี้ 1 การส่งมอบอุปกรณ์ล่าช้าเป็นเงิน 1.7 ล้านบาท 2 การไม่นำอุปกรณ์มาเปลี่ยนให้ใหม่ภายในระยะเวลากำหนด 26 วัน จากจำนวนอีเอ็มทั้งหมด 4,000 เครื่อง ค่าปรับเครื่องละ 500 บาท ต่อวัน คิดเป็นเงินจำนวน 52 ล้านบาท 3.ค่าเสียหายจากการไม่มาปฎิบัติงานของพนักงานประจำศูนย์อีเอ็ม จำนวน 2 ราย ในระยะเวลา 1 เดือนจำนวน 22,500 บาท และ 4.ค่าเสียหายหลังการบอกยกเลิกสัญญาอีกทำให้กรมคุมประพฤติไม่สามารถใช้งบประมาณจำนวน 21.6 ล้านบาท และไม่สามารถนำงบปี 62 มาใช้ได้อีก 8.8 ล้านบาท รวม29.7 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับขั้นตอนการคำนวณค่าเสียหายกรมคุมประพฤติจะส่งหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดให้เป็นผู้ดำเนินคดีต่อไป ส่วนอัยการจะเห็นชอบในตัวเลขดังกล่าวหรือไม่นั้นอาจต้องหารือกันอีกครั้ง แต่ถือว่ากรมคุมประพฤติได้พยายามรักษาผลประโยชน์ของรัฐ โดยได้เร่งรัดให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาได้ดำเนินการแก้ไขให้ครบถ้วน และเมื่อเห็นได้ว่ามีการทำผิดสัญญาอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการถอดกำไลอีเอ็มออกง่าย ไม่สังสัญญาณเตือนขณะถูกตัดทำลาย ซึ่งผิดไปจากสเปคที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมคุมประพฤติได้แจ้งไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อของดใช้กำไลอีเอ็มจนกว่าจะมีการจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณใหม่ ซึ่งต้องดำเนินการกำหนดทีโออาร์และการตรวจรับด้วยความรัดกุม ส่วนบริษัทสุพรีมฯจะติดแบล็กลิสต์ หรือถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมการเสนอราคาในปีงบประมาณต่อไปหรือไม่ ตนยังให้คำตอบไม่ได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การใช้อุปกรณ์อีเอ็มเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ ปัจจุบันคุกทั่วประเทศมีผู้ต้องขัง 3.6 แสนคนและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่พ้นโทษและได้รับการพักโทษมีน้อยกว่าที่เข้ามาใหม่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย การออกกฎกระทรวงการพักโทษ การขยายเรือนจำ การสร้างเรือนจำใหม่ ก็ต้องทำซึ่งได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและการใช้งบประมาณปี 2563 และปี 2564 ด้วย
ด้านนายประสาร มหาลี้ตระกูล อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า กรมคุมประพฤติได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานศาลยุติธรรมให้ทราบถึงการยกเลิกสัญญาเช่ากำไลอีเอ็มแล้ว และแจ้งให้สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดทั่วประเทศ ให้เร่งทำรายงานเสนอศาลเพื่อขอเพิกถอนการใช้กำไลอีเอ็มกับผู้ถูกคุมประพฤติ ซึ่งก่อนจะแจ้งยกเลิกมีผู้ใช้กำไลอีกเอ็มกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 500 คนโดยระหว่างที่ไม่ได้มีการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ติดตามตัว ศาลอาจมีคำสั่งให้ใช้กำไลอีเอ็มของศาล หรือส่งไปทำงานบริการสังคมตามดุลยพินิจของศาล