กรมอนามัยเตรียมชงนำน้ำตาลออกจากผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก

กรมอนามัยเตรียมชงนำน้ำตาลออกจากผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก

ดีเดย์ 1 ต.ค.62 ปรับภาษีความหวานเพิ่มเท่าตัว กรมอนามัยเชื่อช่วยลดภาวะโภชนาการเกิน-โรคอ้วนลดน้อยลง ระบุปริมาณน้ำตาลเหมาะสม 6 กรัมต่อปริมาณเครื่องดื่ม 100 มล. เตรียมจะเสนอให้นำน้ำตาลออกจากผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก

จากการที่กรมสรรพสามิต จะปรับภาษีความหวานในวันที่ 1 ต.ค.62 ขึ้นอัตราภาษีความหวานอีกเท่าตัว ส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสมส่วนใหญ่ ประมาณ 10-14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร (มล.) จะเสียภาษีเพิ่มเป็น 1 บาทต่อลิตร จากเดิมเสียที่ 50 สตางค์ต่อลิตร คาดว่ากรมสรรพสามิตจะสามารถจัดเก็บภาษีในกลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 1,500 บาท จากปัจจุบันจัดเก็บภาษีได้ 2,000 ล้านบาทต่อปี และจะจัดเก็บในอัตราขั้นบันไดทุก 2 ปี โดยปรับเพิ่มเป็น 2 เท่า สูงสุดถึง 5 บาทต่อลิตร คือ หลังจากวันที่ 1 ต.ค.64 ภาษีในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสม 10-14% จาก 1 บาทต่อลิตร จะเพิ่มเป็น 3 บาทต่อลิตร และในวันที่ 1 ต.ค.66 จะเพิ่มจาก 3 บาทต่อลิตร เป็น 5 บาทต่อลิตร 
            ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.ย. พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์บริโภคเครื่องดื่มรสหวาน  เพิ่มขึ้นของคนไทย ทำให้หลายภาคส่วนต้องหาแนวทางลดการบริโภคเครื่องดื่มรสหวาน ซึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ปัญหาของประเทศไทย คือการใช้นโยบายการคลังเพื่อเก็บภาษีสินค้าเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลในปริมาณสูง    ซึ่งในวันที่
1 ตุลาคม 2562  จะมีการปรับภาษีความหวานเพิ่มขึ้นอีกรอบ หากผู้ผลิตยังไม่สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มได้ จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่งผลให้ราคาเครื่องดื่มสูงขึ้น  ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักของการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณน้ำตาล คือ 1. เพื่อให้ผู้ผลิตและนำเข้าเครื่องดื่ม    มีแรงจูงใจในการปรับสูตรการผลิต หรือผลิตสินค้าทางเลือก เพื่อสุขภาพที่มีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมที่ 6 กรัมต่อปริมาณเครื่องดื่ม 100 มล. 2. เพิ่มรายได้ภาครัฐจากการจัดเก็บภาษี  3. เพื่อลดพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่ม รสหวานของคนไทย และ 4.ลดความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคฟันผุ  

“กรมอนามัยคาดหวังว่าหลังจากภาครัฐปรับขึ้นภาษีสินค้าเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 จะช่วยให้คนไทยสุขภาพดีขึ้น ลดภาวะโภชนาการเกินและโรคอ้วนให้ลดน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมา กรมอนามัยได้เร่งดำเนินกิจกรรมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และจัดกิจกรรมร่วมภาครัฐและเอกชนในการประชุม/สัมมนาเพื่อสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพและโภชนาการที่สมดุล ช่วยให้ประชาชนบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พร้อมส่งเสริมการบริโภคเมนูชูสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม เติมเต็มผักผลไม้ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคอ่านฉลากโภชนาการ เลือกซื้ออาหารที่ได้สัญลักษณ์ Healthier Choice Logo โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือลดการบริโภคอาหารรสหวานจัด และมีพฤติกรรมการบริโภคที่พึงประสงค์”อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า น้ำตาลเป็นส่วนประกอบของอาหารที่หากบริโภคมากไปจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ฟันผุ โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งจากรายงานผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ โดยสำนักทันตสาธารณสุข พบว่าเด็กอายุ 12 ปี บริโภคน้ำอัดลม น้ำหวาน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความนิยมบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าความชุกของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป        ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2551 เป็น 37.5 % ในปี 2557

“ กรมอนามัยเตรียมจะเสนอให้นำน้ำตาลออกจากผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก เพื่อลดพฤติกรรมการบริโภคหวานในเด็ก เนื่องจากปัจจุบันพบว่าเด็กไทยติดหวานจนทำให้มีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น เป็นปัญหาพฤติกรรมสุขภาพของเด็กไทยที่ต้องได้รับการแก้ไขและป้องกันอย่างต่อเนื่องต่อไป”ทพญ.ปิยะดากล่าว