เช็คหน่อย! เศรษฐกิจจีนชะลอตัวแรงแค่ไหน
ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่ในไตรมาส 3 นี้ ข้อมูลของทางการบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนซบเซาลงทุกภาคส่วนทั้งอุตสาหกรรมการผลิต ภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ แถมยังเจอการแพร่ระบาดของโรคอหิวาห์ตกโรคในสุกร โถมทับเข้าไปอีก
จีน ที่เปรียบเหมือนเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในช่วงที่่ประเทศพัฒนาแล้วกำลังพักฟื้นร่างกายที่บอบช้ำหนักหลังเกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2551 เริ่มมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 90 โดยเฉพาะผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2545
วานนี้ (26 ก.ย.) ไชนา เบจบุ๊ค ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจีนโดยซีบีบี อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า เศรษฐกิจจีนค่อนข้างซบเซาในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยปรากฏให้เห็นการชะลอตัวลงทั้งในภาคการผลิต บริการ และอสังหาริมทรัพย์ แม้จีนมีการปล่อยกู้มากขึ้นก็ตาม
รายงานชิ้นนี้ ซึ่งได้จากการสำรวจบริษัทต่าง ๆ ในจีนราว 3,300 แห่ง ระบุว่า ภาคการผลิตเป็นภาคส่วนที่น่าเป็นห่วง เพราะมีการส่งออกลดลงประกอบกับราคาขายไม่ค่อยปรับตัวขึ้น จนกระทบต่อผลกำไรของบริษัท และท้ายที่สุดทำให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนและชำระหนี้ได้ไม่เต็มที่ โดยรายได้ ยอดขาย และกำไร ล้วนปรับตัวลดลงในอัตราเลขหลักสิบ ส่วนภาคบริการ รายได้และกำไรปรับตัวลดลงเช่นกัน ขณะที่การจ้างงานก็ชะลอตัวลงด้วยเมื่อเทียบกับไตรมาส 2
ส่วนการกู้ยืม ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในภาคสถาบันการเงินและธนาคารเงา ขณะเดียวกันก็มีการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
แม้แต่หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ยังยอมรับว่า ภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่เป็นอยู่ในขณะนี้อาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนขยายตัวแค่ 6%
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างหนักในขณะนี้คือ การทำสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยืดเยื้อยาวนาน และการแพร่ระบาดของโรคอหิวาห์ตกโรคในหมู ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องชาวจีนทั้งประเทศที่นิยมบริโภคเนื้อหมูเป็นหลัก
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมีนัยยะสำคัญมาก เพราะขณะนี้จีนเจอปัญหาเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจากภายนอกก็ย่ำแย่ ครอบคลุมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการที่สหรัฐและจีนทำสงครามการค้าระหว่างกัน ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอย่างมาก”ทอมมี อู๋ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากอ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิคส์ ให้ความเห็น
ด้านแกรี ฮุฟบูเออร์ จากสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศปีเตอร์สัน ประมาณการว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ลดลง 1% อาจจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปรับตัวลดลง 0.2%
ส่วนเจมี ไดมอน ประธานและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวในที่ประชุมบลูมเบิร์ก โกลบอล บิสสิเนส ฟอรัม ประจำปีนี้ ที่นิวยอร์กว่า สหรัฐและจีนมีผลประโยชน์ร่วมกันในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สันติภาพ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การต่อต้านการก่อการร้าย และสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้น ทั้งสหรัฐและจีนควรเร่งแก้ปัญหากรณีพิพาททางการค้า แม้วิธีการแก้ไขกรณีพิพาทนี้อาจจะแตกต่างกันก็ตาม
“สงครามการค้าอาจได้รับการแก้ไข เราควรพยายามเข้าใจปัญหาของพวกเขาอย่างเป็นมิตร และพวกเขาควรแก้ไขปัญหาด้านการค้าอย่างจริงจังมากกว่าที่เป็นอยู่” นายไดมอน ระบุ
บลูมเบิร์ก โกลบอล บิสสิเนส ฟอรัม เป็นการประชุมประจำปีของผู้นำรัฐบาลและบรรดาซีอีโอจากบริษัทต่าง ๆ โดยแนวคิดหลักสำหรับการจัดงานในปีนี้ได้แก่ “การฟื้นฟูเสถียรภาพทั่วโลก”
เมื่อเหลียวมองภาคการส่งออกของจีน ก็พบว่ายอดการส่งออกของจีนในเดือนสิงหาคม ปรับตัวร่วงลง 1% จากปีก่อนหน้านี้ โดยการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ร่วงมากถึง 16% ตอกย้ำว่า การทำสงครามการค้าของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลก ผู้บอบช้ำที่สุดก็คือประเทศคู่สงครามนั่นเองไม่ใช่ใคร
แต่ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลดลงจากตัวเลขสองหลัก ในปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส2 เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่อัตรา 6.2% ลดลงจาก 6.4% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ และลดลงจากปี 2561 ที่ขยายตัว 6.6%
สิ่งที่รัฐบาลปักกิ่งทำเพื่อรับมือกับปัญหาการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจคือ ปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มลง 3% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม และหากรวมเม็ดเงินที่ตัดจากมาตรการภาษีร่วมกับเงินอุดหนุนประกันสังคม จะเทียบเท่ารายได้ 2 ล้านล้านหยวน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกในปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 เพราะความท้าทายยังมาจากแรงกดดันของภาคเอกชนและระดับหนี้ของจีนที่สูงมากถึง 3 เท่าของจีดีพีประเทศ