จีนพึ่งวันฉลองวันชาติ1ต.ค.วางยุทธศาสตร์ส่งออกอาวุธ
1 ต.ค.ที่จะถึงนี้ เป็นวันชาติจีนและปีนี้จีนจัดงานฉลองวันชาติอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปีเนื่องจากครบรอบปีที่70 ของการก่อตั้งประเทศ และในวันนี้“สี จิ้นผิง”จะกล่าวสุนทรพจน์ถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและทิศทางที่ประเทศจะดำเนินต่อไปในอนาคตแล้ว
รัฐบาลปักกิ่ง เตรียมฉลองวันชาติ 1 ต.ค.อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งสั่งให้สถานทูตจีนทั่วโลกทำกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ ในฐานะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ2 ของโลก ซึ่งรวมถึงการสวนสนามของทหารจีนทั้งหญิงและชายซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่จีนเปิดโอกาสให้กำลังพลหญิงมีส่วนร่วมในพิธีแสดงแสนยานุภาพครั้งสำคัญ
วานนี้ (27 ก.ย.2562) ทหารและตำรวจหญิงของจีนต่างขะมักเขม้นซ้อมกับการเดินสวนสนาม เพื่อฝึกความอดทนและเตรียมความพร้อม สำหรับพิธีสวนสนาม เพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทัพจีน โดยในปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ประชาชนชาวจีนจะได้เห็นกำลังพลหญิงถืออาวุธและร่วมเดินขบวนในงานฉลองวันชาติ ที่จะจัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง
หนึ่งในทหารหญิง ซึ่งรับหน้าที่เป็นครูฝึกสอนกล่าวว่า รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ที่ในปีนี้ ทหารหญิงจะมีโอกาสได้ถืออาวุธและเดินสวนสนามในวันชาติ ผ่านจัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นครั้งแรก แม้ก่อนหน้านี้ เคยร่วมพิธีใหญ่ อย่างเช่นการเดินสวนสนามในวันแห่งชัยชนะเมื่อปี 2558
งานฉลองหลักจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง จะมีการเดินสวนสนามโชว์อาวุธที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ตามมาด้วยการเดินขบวนของประชาชนทุกหมู่เหล่าและทหาร ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่ถือว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดนับตั้งแต่ เหมา เจ๋อตุง จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชน ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า สีจะพูดถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และสิ่งที่ผู้นำจีนผู้นี้พูดในวันนี้อาจเผยให้เห็นทิศทางที่ประเทศจะดำเนินไปในอนาคต
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี และบรรดาผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดใช้งานท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่งต้าซิงอย่างเป็นทางการ ซึ่งสนามบินปักกิ่งต้าซิงแห่งนี้ จะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ก่อนหน้าวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นวันฉลองวันชาติจีน และสามารถรองรับรับผู้โดยสารได้มากกว่า 72 ล้านคนต่อปี
อย่างไรก็ตาม แม้จีนตั้งใจจัดงานฉลองวันชาติในปีนี้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ความสนใจจะมุ่งไปที่ฮ่องกง เนื่องจากการฉลองวันชาติของจีนทุกปี ในฮ่องกงจะมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านจีน แต่ปีนี้การชุมนุมประท้วงจะจริงจังและทำเป็นระบบมากขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงรู้ว่าโลกกำลังจับตามองพวกเขาอยู่
การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงดำเนินต่อเนื่องมาหลายเดือนและส่อเค้าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ฝ่ายผู้ประท้วงก็บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา และในวันที่ 1 ต.ค. นี้ การเฉลิมฉลองวันชาติจีนของทางการฮ่องกงจะจัดแบบเรียบง่าย และได้มีการสั่งเลิกการจุดพลุเฉลิมฉลอง เพื่อลดความเสี่ยงปะทะกันด้วยกำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมเตรียมยกระดับการประท้วงขึ้นอีก โดยมีการวางแผนเดินขบวนวันที่ 1 ต.ค. ที่ใจกลางฮ่องกงและให้ทุกคนใส่ชุดดำ
นอกจากนี้ ยังมีการนัดชุมนุมใหญ่ที่อุทยานทามาร์ ในวันเสาร์(28 ก.ย.)นี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 5 ปี หลังการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงเมื่อปี 2557 โดยที่ผ่านมา แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ได้ยื่นหนังสือขออนุญาตจัดการชุมนุมต่อสำนักงานตำรวจฮ่องกง เพื่อให้พิจารณาอนุมัติแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังผลการพิจารณาจากสำนักงานตำรวจฮ่องกง หากตำรวจอนุญาต การชุมนุมอย่างสันติของผู้ชุมนุมประท้วงก็จะเริ่มขึ้น
สิ่งที่บรรดาผู้สังเกตุการณ์และผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองให้ความสนใจในการฉลองวันชาติจีนปีนี้คือ การที่จีนนำอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่างๆออกมาร่วมในขบวนพาเหรด เพื่อให้ทั่วโลกเห็นว่า จีนมีความก้าวหน้าแค่ไหนในการพัฒนาอาวุธเหล่านี้ และอีกด้านหนึ่งก็เพื่อดึงดูดความสนใจของบรรดาประเทศที่กำลังมองหาแหล่งซื้ออาวุธเอาไว้เสริมเขี้ยวเล็บประเทศ ในยุคที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขัดแย้งด้านการทหารระหว่างกันได้ทุกเมื่อ
ทุกวันนี้ จีน เป็นประเทศที่ใช้งบประมาณกลาโหมมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่ในระดับเดียวกับสหรัฐ รัสเซีย เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยลูกค้ารายใหญ่เป็นประเทศหุ้นส่วนในแผนยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ของจีน
นักวิเคราะห์ ให้ความเห็นว่า จีนกำลังนำเสนอตัวเป็นทางเลือกผู้จัดหาอาวุธสำหรับประเทศที่นำเข้ายุทโธปกรณ์จากรัสเซียเป็นหลัก และนับตั้งแต่ปี 2550 ประเทศที่นำเข้าอาวุธจากจีนมากที่สุดคือ ปากีสถาน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของจีนในภูมิภาคเอเชีย นำเข้าคิดเป็นมูลค่า 6.57 พันล้านหน่วย รองลงมาคือ บังกลาเทศ นำเข้า 1.99 พันล้านหน่วย และเมียนมา นำเข้า 1.28 พันล้านหน่วย โดยทั้ง 3 ประเทศนี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์พัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ของจีน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาด้านยุทธศาสตร์ (ไอไอเอสเอส) ของกรุงลอนดอน ยังให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลปักกิ่งเร่งรัดพัฒนากองทัพให้ทันสมัยกำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และกองทัพจีนกำลังแซงหน้ากองทัพรัสเซีย ในการเป็นกองกำลังหลักที่สหรัฐนำมาเปรียบเทียบกับแสนยานุภาพของกองทัพตน
พูดได้ว่า จีน มีความสำคัญมากขึ้นทั้งต่อสหรัฐและต่อโลก ในเรื่องของการทหารและความมั่นคง และไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกองกำลังทางทะเลและทางอากาศ ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันรวมทั้งไอไอเอสเอส มีความเห็นว่า กองทัพจีนได้ขยับขึ้นมาเป็นคู่แข่งในระดับที่ทัดเทียมกับกองทัพสหรัฐแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ชาวจีนยกเลิกทัวร์ฟาร์มสหรัฐฉุดดาวโจนส์ร่วง
-'สหรัฐ-จีน' ฟื้นเจรจาเทรดวอร์
-ลุ้นแผนกดดันจีนของ“โจชัว หว่อง”
-นักเดินทาง 'จีน' ขาลง ฉุดท่องเที่ยว 'อาเซียน'