ช่อง 3 เดินหน้าปรับผัง หลังยุติออกอากาศทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ช่อง 13 แฟมิลี่ และช่องวาไรตี้ความคมชัดปกติ(เอสดี) 28 ประเดิมเฟสแรกเขย่าผังรายการข่าว ยุบ 9 โต๊ะข่าวรวมกองเหลือ 1 โต๊ะ หวังทำงานคล่องตัว ตั้งเป้าโกยเรทติ้งเบอร์ 1 ทุกช่วงข่าว
วันที่ 1 ต.ค. 2562 เวลา 00.01 น. ทีวีดิจิทัล 2 ช่องสุดท้าย ได้แก่ ช่อง 13 และช่อง 28 ที่ “บีอีซี เวิลด์” หรือช่อง 3 ของตระกูลมาลีนนท์ ประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการ(ไลเซ่นส์)ทีวีดิจิทัลและออกอากาศมาตลอด 5 ปี จะยุติการออกอากาศหรือ “จอดำ” พร้อมรับเงินเยียวยาจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท
เมื่อบีอีซี เวิลด์ เหลือทีวีดิจิทัลเพียงช่องเดียว (ช่อง33) ทำให้มีการปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรใหม่ โดยเฉพาะการยุบโต๊ะข่าวจากหลายโต๊ะให้เหลือเพียงโต๊ะเดียว ทำให้ภาพรวมธุรกิจคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงสามารถทุ่มสรรพกำลังมาสร้างความแข็งแกร่งให้ช่องกลับมาผงาด โดยเฉพาะการ “พลิกฟื้น” กิจการที่ “ขาดทุน” ให้มี “กำไร”
นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด(มหาชน)หรือช่อง 33 เปิดเผยว่า หลังจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล คืนช่อง 7 ช่อง ทำให้เหลือผู้เล่นในตลาด 15 ช่อง คาดว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลแข่งขันรุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่เหลือจะต้องอยู่ในสมรภูมิเดียวกันไปอีก 10 ปีตลอดระยะเวลาอนุญาตประกอบกิจการที่เหลือ จึงต้องงัดอาวุธเด็ดเพื่อแข่งขันกันเต็มที่
ปรับผังรายการหลัง2ช่องจอดำ
ทั้งนี้ หลังจากวันที่ 1 ต.ค. บริษัทจะคืนทีวีดิจิทัล 2 ช่อง แผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ไปคือการ “ทรานส์ฟอร์ม” ช่อง 3 ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะการปรับผังรายการต่างๆทั้งข่าว วาไรตี้ และละคร ซึ่งเฟสแรกจะเป็นการเขย่าผังรายการข่าวทั้งหมด เนื่องจากเป็นคอนเทนท์ที่มีจุดแข็งรอบด้าน ทั้งทีมผู้ประกาศข่าวที่น่าเชื่อถือราว 50 คน และเป็นที่รู้จักในวงกว้างของฐานผู้ชมช่อง 3 รวมถึงรายการข่าวส่วนใหญ่ที่ออกอากาทำเรทติ้งเป็นอันดับ 1 เช่น เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ออกอากาศเวลา 10.30 น. เรทติ้ง 2.151 ข่าวเด่นเย็นนี้ ออกอากาศ 18.00 น. เรทติ้ง 1.712 เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ยังปรับตำแหน่งการตลาดหรือโพสิชันนิ่งของรายการข่าวใหม่สู่การเป็นสถานีข่าวจริง ทันเหตุการณ์ พึ่งพาได้ เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น เหมาะสมและใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายคนดูช่อง 3 ส่วนกลยุทธ์ในการบุกรายการข่าว เน้น 3 หมวด ได้แก่ ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม และข่าวบันเทิง เพราะมีเนื้อหาที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภค ด้านการปรับรายการข่าวนำร่อง 3 รายการเด่น ได้แก่ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ เรื่องเด่นเย็นนี้ และข่าวสามมิติ ขณะเดียวกันได้ดึงรายการเรทติ้งดีจากช่อง 28 มาเสริมทัพข่าวด้วย คือ โหนกระแส และข่าวนอกลู่ ทำให้ภาพรวมมีการแบ่งเวลาของรายการข่าวให้สั้นลง
ตั้งเป้าดันเรทติ้งข่าวอันดับ1
นอกจากนี้ ยังปรับสตูดิโอใหม่ เพิ่มลูกเล่นในการนำเสนอข่าว ทำกราฟฟิกที่ง่ายต่อการนำเสนอให้ผู้บริโภคเข้าใจมากขึ้น ส่วนรายการข่าวอื่นๆ คาดว่าจะทยอยปรับเนื้อหา รวมถึงสตูดิโอในการออกอากาศให้แล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปีนี้
“เป็นเฟสแรกของการทรานส์ฟอร์มช่อง 3 เราเน้นปรับรายการข่าว เพราะเป็นจุดแข็งของช่องที่ในอดีตเคยทำรายได้สัดส่วนกว่า 10% ก่อนที่ปัจจุบันจะลดเหลือตัวเลข 1 หลักเท่านั้น ส่วนกลยุทธ์การนำเสนอ 3 หมวดข่าว อาชญากรรม สังคม บันเทิง เพราะยึดผู้ชมเป็นตัวตั้ง และไม่ได้หมายความว่าทิ้งข่าวหมวดอื่น ที่สำคัญข่าวช่อง 3 ส่วนใหญ่เรทติ้งเป็นอันดับ 1 ดังนั้นจุดประสงค์การปรับรายการครั้งนี้ ต้องการผลักดันให้ทุกรายการข่าวมีเรทติ้งเป็นอันดับ 1 และไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มทีวีแต่รวมถึงออนไลน์” นายอริยะ กล่าว
สำหรับการบุกออนไลน์ จะให้ความสำคัญในการนำเสนอข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูป ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ของช่อง 3 รวมถึงการส่งต่อคอนเทนท์จากทีวีสู่ออนไลน์ และออนไลน์ป้อนกลับมายังทีวีด้วย
เตรียมเขย่าผัง“วาไรตี้-ละคร”ต่อ
นายอริยะ กล่าวอีกว่า หลังการเขย่ารายการข่าว ต้นปี 2563 จะปรับผังรายการวาไรตี้ และละคร เพื่อผลักให้ได้รับความนิยมหรือเรตติ้งจากผู้ชมเพิ่ม โดยละครถือเป็นพอร์ตโฟลิโอใหญ่ทำรายได้ให้ช่อง 3 สัดส่วนมากถึง 80% ข่าวต่ำกว่า 10% ที่เหลือเป็นวาไรตี้
“การจะปรับผังรายการที่เหลือไม่ว่าจะเป็นวาไรตี้ และละคร จะเริ่มต้นปีหน้า เพราะเป็นเนื้อหาที่ใช้เวลาในการผลิต ที่สำคัญ โครงสร้างรายได้ช่อง 3 ที่ผ่านมา กระจุกอยู่ที่ละคร แต่ตอนนี้ต้องการกระจายแหล่งรายได้ไปยังทุกรายการ ทุกแพลตฟอร์ม ไม่แค่ทีวี”
นอกจากนี้ แนวทางการหารายได้ของช่อง 3 ยังให้ความสำคัญกับการนำลิขสิทธิ์คอนเทนท์ต่างๆไปจำหน่ายต่างประเทศ ให้น้ำหนักรุกออนไลน์เพิ่มขึ้น รวมถึงการนำลิขสิทธิ์ของศิลปิน นักแสดงในสังกัดไปต่อยอดสร้างรายได้เพิ่ม โดยเป้าหมายรายได้จากธุรกิจใหม่ๆเหล่านี้ต้องการให้มีสัดส่วน 10% ซึ่งคาดว่าจะทยอยเห็นภาพชัดในปี 2563