เศรษฐกิจโลกขาลงฉุดราคาอสังหาฯเมืองใหญ่ทั่วโลก

เศรษฐกิจโลกขาลงฉุดราคาอสังหาฯเมืองใหญ่ทั่วโลก

ไนท์แฟรงก์ เผยดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์หรูหราตามเมืองใหญ่ทั่วโลกในไตรมาส3 ของปีนี้ ปรับตัวขึ้นแค่1.1% ลดความน่าดึงดูดใจในสายตาผู้ซื้อไปมาก จากปัจจัยลบรอบด้านทั้งสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ความไม่แน่นอนของเบร็กซิต และการประท้วงที่ยืดเยื้อในฮ่องกง

รายงานดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ตามเมืองใหญ่ของไนท์แฟรงก์ ระบุว่า ในไตรมาส3ของปีนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ตามเมืองใหญ่เช่นในนิวยอร์ก สหรัฐ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา พร้อมใจกันปรับตัวลงในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 สะท้อนให้เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์หรูตามเมืองใหญ่เหล่านี้มีความน่าดึงดูดใจในสายตาผู้ซื้อบ้านหรูน้อยลง

จากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่ทำให้กระแสเงินสดหมุนเวียนข้ามพรมแดนพลอยลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนของเบร็กซิต การประท้วงที่ยืดเยื้อในฮ่องกง แการขึ้นภาษีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามเมืองใหญ่บางแห่ง การโหมสร้างอสังหาริมทรัพย์หรูจนมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย

รายงานของไนท์ แฟรงก์ ระบุว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์หรูตามเมืองต่างๆ 45 เมืองปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ 1.1% ในไตรมาส3 ปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แยกเป็นราคาอสังหาริมทรัพย์หรูในนิวยอร์ก ปรับตัวลง 4.4% ในกรุงลอนดอน 3.9% และในแวนคูเวอร์ ร่วงลง 10%

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกขณะนี้เป็นช่วงขาลง และยังมีปัจจัยลบต่างๆอาทิ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (เบร็กซิท) การชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อย่างเข้าเดือนที่ 5 ในฮ่องกง กระแสความนิยมบ้านหรูที่ลดลงตามเมืองใหญ่บางเมือง และการเก็บภาษีซื้อขายอสังหาฯรูปแบบใหม่กับกลุ่มคนมีฐานะที่ต้องการครอบครองอสังหาริมทรัพย์มากกว่า1 หลังขึ้นไป

“แดนสวรรค์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มลดความน่าสนใจลง ทำให้การแสวงหาสถานที่ที่ดี มั่นคง มีคุณภาพสูงเพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บสะสมเงินทุน กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น”นายแดน คอนน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)คริสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ให้ความเห็น

รายงานของไนท์แฟรงก์ ระบุว่า เมืองใหญ่ทั่วโลกอย่าง กรุงลอนดอน ฮ่องกง และนิวยอร์ก ที่ถูกมองว่าเป็นดัชนีชี้วัดตลาดที่อยู่อาศัยหลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤติการเงินปี 2551 กำลังสูญเสียสถานะในฐานะเป็นแหล่งปลอดภัยในสายตาผู้ซื้อต่างชาติที่มีฐานะมั่งคั่งที่ต้องการนำเงินสดที่ถือครองมาพักไว้ในเมืองใหญ่เหล่านี้ หรือใช้เป็นที่พำนักส่วนตัว

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการที่รัฐบาลหลายประเทศออกกฏระเบียบต่างๆเพื่อลดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมทรัพย์ด้วยความวิตกกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตก

ไอเอ็มเอฟเตือนยุโรปรับมือฟองสบู่อสังหาฯแตก

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยแพร่รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจทวีปยุโรปประจำปี 2562 พร้อมส่งสัญญาณเตือนประเทศกลุ่มยูโรโซนให้เตรียมแผนฉุกเฉินตั้งรับเศรษฐกิจตกต่ำ โดยเศรษฐกิจยุโรปเผชิญความไม่แน่นอนจากเบร็กซิท โดยปราศจากข้อตกลงในปีหน้า รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าซึ่งส่งผลต่อการส่งออกและภาคการผลิตอุตสาหกรรม ที่อาจลุกลามไปยังภาคการบริการอันเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุโรปได้

นอกจากนี้ ความเสี่ยงอีกประการต่อเศรษฐกิจยุโรปในคำเตือนของไอเอ็มเอฟ คือ ความเสี่ยงการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วของราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือภาวะ “ฟองสบู่อสังหาฯแตก” ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงิน โดยมีสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป ที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟ ยังคงแนะนำว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงินยังคงมีความจำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลประเทศที่มีฐานะการคลังแข็งแกร่ง อย่างเช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ควรพิจารณาเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐสำหรับลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ

ราคาอสังหาฯยูโรโซนทะยาน4ไตรมาสติด

ธนาคารยูบีเอส เผยผลศึกษาและดัชนีชี้วัดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯของเมืองหลักทั่วโลกประจำปี 2562 พบว่า ประเทศในกลุ่มยูโรโซนเผชิญกับราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วใน 4 ไตรมาส (ต.ค. 2561-ก.ย. 2562) โดย 4 เมืองสำคัญ ซึ่งปัจจุบันเผชิญกับภาวะฟองสบู่อสังหาฯ ได้แก่ มิวนิก อัมสเตอร์ดัม แฟรงก์เฟิร์ต และปารีส นอกจากนี้ มิลานและมาดริด ก็อาจเจอกับความเสี่ยงแบบนี้เช่นกัน

รายงานระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัย มีอัตราการเติบโตรวดเร็วกว่าการเติบโตของรายได้ประชากร ผลพวงจากการเก็งกำไร หากเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความไม่มั่นใจก็อาจทำให้ราคาอสังหาฯปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารยูบีเอสยกตัวอย่างราคาที่อยู่อาศัยเมืองมิวนิก ซึ่งปรับตัวขึ้นถึง 100% ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยค่าเช่าเพิ่มขึ้น 40% ขณะที่ประชากรชาวเมืองมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 15%