ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โชว์จับแก็งค้ายาเสพติดรายใหญ่ 3 คดี รวบอดีตรองสารวัตร และพรรคพวกได้ 10 ราย ยึดของกลางไอซ์กว่า 520 กิโลกรัม ยาบ้า 6 ล้านเม็ด และกัญชาอีก 300 กิโลฯ
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผช.ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส. และตำรวจ บช.ปส. แถลงผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ 3 คดี จับกุมผู้ต้องหา 10 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 6 ล้านเม็ด ไอซ์ 520 กิโลกรัม กัญชา 300 กิโลกรัม
คดีแรก เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ตำรวจกก.2 บก.ปส.3 ได้จับกุมนายวิทวัส หรือก้อง รัตนสีหา อายุ 30 ปี ชาวจ.อุดรธานี นายกฤติเดช หรืออาท ปุยะพันธ์ อายุ 33 ปี ชาวจ.นครปฐม นายเอ๋ เงินยอดรัก อายุ 30 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร น.ส.มุกดา หรือมุก ลาดกระโทก อายุ 25 ปี ชาวจ.นครราชสีมา พร้อมของกลาง ยาบ้า 6 ล้านเม็ด รถยนต์ 4 คัน โทรศัพท์ 7 เครื่อง ทั้งนี้หลังเจ้าหน้าที่สืบสวนจนทราบว่าจะมีกลุ่มนักค้ายาเสพติด “กลุ่มนายเอ๋ เงินยอดรัก” จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่จ.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ ซึ่งจะใช้รถยนต์หลายคันในการลำเลียง ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบรถยนต์ต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้งจำนวน 3 คัน ขับติดตามกันลักษณะรถนำ เพื่อสำรวจเส้นทางและรถคุ้มกันไปในเส้นทางเดียวกันตลอด และใช้เส้นทางรองลัดเลาะตามถนนในหมู่บ้านลักษณะหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ในหลายจุด กระทั่งรถยนต์ทั้ง 3 คัน ขับมาถึงบริเวณด่านตรวจ สภ.ขาณุวรลักษบุรี ต.สลกบาตร อ. ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร รถยนต์ทั้ง 3 คันได้จอดรออย่างผิดปกติก่อนถึงด่านตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบยาบ้า 6 ล้านเม็ด บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ยขนาดใหญ่จำนวน 20 ใบ อยู่ภายในรถยนต์ตู้โตโยต้า สีขาว ทะเบียนฮน 5376 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายวิทวัสหรือก้องรัตนสีหา เป็นผู้ขับขี่ จึงจับกุมนายวิทวัสและพวกรวม 4 คน ก่อนนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนบก.ปส.3บช. ปส. ดำเนินคดีในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีที่สองเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ตำรวจบก.ปส.2 จับกุมนายวันชัย แก่นจันทร์ อายุ 39 ปี นายอรรถพล อนุรมณ์ อายุ 22 ปี และน.ส.อุรัสยา สายสี อายุ 19 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.อุบลราชธานี พร้อมของกลาง กัญชา 8 กระสอบ น้ำหนัก 300 กิโลกรัม รถยนต์ 2 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่บริเวณสี่แยกไฟแดงหน้ามหาวิทยาลัย ราชภัฏสกลนคร ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร และตรวจยึดของกลาง ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ก่อนเกิดเหตุได้รับแจ้งจากสายลับว่า กลุ่มเครือข่ายนายวันชัยจะลักลอบลำเลียงกัญชา จากพื้นที่ชายแดนติดกับแม่น้ำโขงทางด้าน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อจะลำเลียงไปส่งให้กับลูกค้าตอนใน โดยกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะใช้ยานพาหนะเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน รุ่นนาวาร่า สีดำ ทะเบียน 2ฒฆ 1062 กรุงเทพฯ ในการลำเลียงกัญชา โดยมีรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ สีขาว ทะเบียน กว 6696 อยุธยา เป็นรถยนต์สำรวจเส้นทางและสังเกตการณ์ท้ายขบวน ต่อมารถยนต์สองคันขับไปตามเส้นทาง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มุ่งหน้าแยกท่าแร่ จ.สกลนคร โดยรถยนต์ทั้งสองคันได้ขับขี่ตามกัน สลับกันขึ้นลงเป็นบางครั้ง โดยทิ้งช่วงห่างกันเป็นระยะ และขับขี่ไปตามเส้นทางเดียวกันโดยตลอด กระทั่งรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุฯ แล่นถึงบริเวณสี่แยกไฟแดงหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เจ้าหน้าที่จึงได้หยุดรถยนต์คันดังกล่าว และแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการตรวจค้นรถพบนายวันชัย เป็นผู้ขับขี่ มีนายอรรถพลและน.ส.อุรัสยานั่งโดยสารในรถ ขณะเดียวกันได้ติดตามรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสันฯ ซึ่งขับล่วงหน้าไปก่อน เจ้าหน้าที่ได้พยายามหยุดรถยนต์คันดังกล่าว แต่ผู้ขับขี่ได้เร่งความเร็วรถยนต์เข้าไปยังเขตพื้นที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ แล้วขับหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้านค้อ ม.8 ต.กุดค้าว อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นเส้นทางคดโค้งและแคบ รถเสียหลักเฉี่ยวชนเสาไฟฟ้าตกลงข้างทาง ไม่สามารถขับต่อได้ ผู้ขับขี่ได้อาศัยความมืดหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 8 กระสอบ น้ำหนัก 300 กิโลกรัม วางเรียงซ้อนกันอยู่ภายในห้องโดยสาร จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะขยายผลออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ ต่อไป
และคดีที่ 3 จับกุม ร.ต.ท.ชิณณวรรณ นิติพีรนันท์ อายุ 60 ปี เป็นอดีตข้าราชการตำรวจ พร้อมนางธีรนาฏโชติอ่อน อายุ 49 ปี และนายณัฐวัฒน์ โชติพงศ์วรภัทร อายุ 34 ปี พร้อมของกลาง ไอซ์ น้ำหนัก 520 กิโลกรัม รถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร่ สีน้ำตาล 1 คัน รถยนต์กระบะมิตซูบิชิ ไตรตัน สีขาว 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่ จ.สุโขทัย จุดแรกที่ริมถนนหน้าศูนย์รักษาความปลอดภัยชุมชนตำบลสามเรือน อ.ศรีสำโรง อีกจุดต่อเนื่องถนนหมายเลข 1305 เยื้องกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ต.ป่างิ้ว อ.ศรีสัชนาลัย และที่ริมเขาวัดเขาแก้วชัยมงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม
ก่อนเกิดเหตุชุดจับกุมได้รับแจ้งเบาะแสว่า มีทีมงานขนส่งลำเลียงยาเสพติดที่ลักลอบพาคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย ได้รับจ้างมาจากนายทุนพ่อค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ให้นำยาเสพติดมาส่งให้กับลูกค้าในภาคกลาง จึงวางแผนสกัดกั้นและจับกุม ร.ต.ท.ชิณวรรณ กับนางธีรนาถ ได้ริมถนนหน้าศูนย์รักษาความปลอดภัยชุมชนตำบลสามเรือน ก่อนตามจับกุมนายณัฐวัฒน์ ได้ริมถนน 1305 เยี้ยงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่างิ้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลตรวจยึดรถยนต์มิจซูบิชิ ปาเจโร่ ที่ซุกซ่อนไอซ์ไว้ภายใน 520 กก.ที่ผู้ต้องหาจอดทิ้งไว้ริมเขาวัดแก้วชัยมงคล ก่อนแจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์,เมทแอมเฟตามีน)ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายฯ” และคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินการขยายผลติดตามและตรวจยึดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ ต่อไป
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ชินภัทร กล่าวว่า ร.ต.ท.ชิณณวรรณ เป็นอดีตตำรวจถูกไล่ออกจากราชการเนื่องจากประพฤติชั่วร้ายแรงเมื่อปี 2544 เพราะมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ลอบนำชาวต่างด้าวเข้าประเทศ ซึ่งตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบความเกี่ยวข้องกับคดีที่มีอดีตข้าราชการตำรวจและถูกจับไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จะคุมตัวไปสอบปากคำเพื่อหารายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เพราะตอนนี้ยังให้การภาคเสธเกี่ยวกับคดียาเสพติดอ้างว่าทำเป็นครั้งแรก แต่ตำรวจยืนยันว่าไม่ได้กลั่นแกล้งเพราะทำตามหน้าที่และหลักฐานที่พบ เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติกรรมลอบขนยาเสพติดในระยะเวลา 1 เดือน
จากการสอบปากคำเบื้องต้นอดีตตำรวจคนดังกล่าวยอมรับว่ามีการลักลอบพาคนต่างด้าวเข้าเมืองมาภายในประเทศในพื้นที่ชั้นในอยู่เป็นประจำมากกว่า 100 ครั้ง โดยไม่ทราบว่ามียาเสพติดอยู่ด้วย
พล.ต.ท.ชินภัทร กล่าวว่า ขณะนี้ใกล้เข้าสู่เทศกาลวันหยุดยาว จึงได้สั่งการให้ตำรวจในสังกัด บช.ปส.เพิ่มความเข้มข้นการสกัดกั้นผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด เข้ามาตามเส้นทางต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากฤดูกาลนี้จะมีความแห้งแล้ง ทำให้ผู้ค้าสามารถลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศได้ง่ายมากขึ้น ทั้งนี้สำหรับยาเสพติดของกลางทั้งหมดที่ตำรวจตรวจยึดได้ บช.ปส.จะส่งสาธารณสุขดำเนินการทำลายทิ้งทั้งหมด ไม่ได้เก็บไว้เพื่อให้ถูกลอบนำออกไปจำหน่ายในท้องตลาดได้อีก