วิตกการเมือง ทุบหุ้นรูด 24 จุด โรงไฟฟ้านำร่วง-ต่างชาติขายสุทธิกว่า 4.8 พันล้าน

วิตกการเมือง ทุบหุ้นรูด 24 จุด โรงไฟฟ้านำร่วง-ต่างชาติขายสุทธิกว่า 4.8 พันล้าน

นักลงทุนวิตกการเมืองป่วน เทขายหุ้นใหญ่ นำโดยกลุ่มโรงไฟฟ้า ฉุดราคารูดยกแผง “นักวิเคราะห์” ฟันธงปัจจัยลบกระทบแค่ช่วงสั้น ขณะ ต่างชาติขายหนักกว่า 4.8 พันล้าน ด้าน ส.อ.ท.หวั่นความรุนแรง วอนชุมนุมในกรอบกฎหมาย “หอการค้า” ขออย่ามีเหตุวุ่นวายนอกสภา

ดัชนีหุ้นไทยวานนี้(16ธ.ค.) ปรับลดลงกว่า 24.17 จุด ปิดตลาดที่ 1,549.74 คิดเป็นการลดลง 1.54% มูลค่าการซื้อขายรวม 53,908.69 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,831.61 ล้านบาท และยังขายสุทธิในตลาดฟิวเจอร์ SET50 อีกราว 26,988 สัญญา โดยหุ้นกลุ่มที่มีแรงขายออกมามากสุด คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งราคาหุ้นปรับลดลงยกแผง

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีแรงขายออกมามากสุด นำโดย บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF) ปรับตัวลดลง 5.83% มาอยู่ที่ระดับ 161.50 บาท หรือลดลง 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,800 ล้านบาท รองลงมา บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ปรับตัวลดลง 5.46% ปิดที่ 82.25 บาท หรือลดลง 4.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,299 ล้านบาท บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ปรับตัวลดลง 3.27% มาอยู่ที่ระดับ 51.75 บาท หรือลดลง 1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 665 ล้านบาท

วิตกการเมืองป่วนฉุดหุ้นรูด

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ลดลงแรง มาจากความวิตกกังวลของผู้ลงทุนที่มีต่อสถานการณ์การเมือง ประกอบกับหุ้นขนาดใหญ่(บิ๊กแคป) โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกเทขายออกมาอย่างหนัก หลังจากก่อนหน้านี้มีแรงซื้อเข้ามาค่อนข้างมาก เมื่อตลาดเผชิญกับปัจจัยลบจึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้จะถูกเทขายนำออกมา

“ราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังอาจย่อตัวลงได้มากกว่านี้ จึงแนะนำให้เลี่ยงการลงทุนและรอดูสถานการณ์ไปก่อน หรือรอซื้อหากราคาย่อลงมาใกล้พื้นฐาน ส่วนดัชนีหุ้นมีโอกาสรีบาวด์ขึ้น แต่ก็คงไปไม่ไกล โดยมีกรอบที่ 1,540-1,560 จุด”

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ลดลงแรงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค แรงกดดันส่วนหนึ่งจากปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยนักลงทุนกังวลว่าจะเกิดการชุมนุมใหญ่ขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น จึงเริ่มมีแรงขายออกมาในหุ้นบางกลุ่ม  เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า 

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(17ธ.ค.) คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวทรงตัว ขณะที่การลงทุนยังเลือกเป็นรายกลุ่มได้ โดยกลุ่มที่น่าจะได้รับความสนใจ คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะตัดสินใจคงดอกเบี้ยในการประชุมวันพรุ่งนี้(18ธ.ค.)

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ปรับลงแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนกลับมาโฟกัสพื้นฐานมากขึ้น หลังล่าสุดกลุ่มนักวิเคราะห์หลายสำนักได้ปรับลดประมาณการอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2563 ลงมาอยู่ที่ระดับ 103.20 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่อยู่ระดับ 104 บาทต่อหุ้น รวมทั้งยังมีแรงขายออกมาอย่างหนักในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มโยกพอร์ตลงทุนหรือสลับกลุ่มเล่น หลังจากในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าแรงขายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปรับพอร์ตช่วงสั้น

ส.อ.ท.หวั่นความรุนแรง

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลจากการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น หากอยู่ในกรอบของกฎหมายก็จะไม่กระทบต่อการค้าและการลงทุน เพราะการแสดงออกหรือการแสดงความเห็นเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนไม่ต้องการเห็นความรุนแรง ซึ่งหากมีการชุมชนจนเลยขอบเขตของกฎหมายกำหนดไว้ ก็จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของไทยมากยิ่งขึ้น

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนไม่มากก็น้อย ซึ่งภาคเอกชนทุกคนไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้ เพราะความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกันหมดต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และถ้าไม่มีเหตุการเหล่านี้ก็จะดีที่สุด

หอฯแนะรัฐป้องกันเหตุวุ่นวาย

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าภาคเอกชนต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายหรือเกิดการชุมนุม ต้องการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพบริหารบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว

ดังนั้น ต้องการให้รัฐบาลดูแลให้ทุกอย่างเรียบร้อยและจัดการให้ถูกต้อง ส่วนการชุมนุมของกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองนั้นคาดว่าคงไม่บานปลายขยายวงกว้างเหมือนในอดีต เพราะเราก็มีบทเรียนในเรื่องนี้อยู่แล้วในหลายครั้งที่ผ่านมา ขณะนี้บ้านเมืองเรากำลังไปได้ดี เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ไม่อยากให้กลับไปสู่วังวนเดิมจนทำให้เสียบรรยากาศการลงทุน

“ภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ดีขึ้น ต่างชาติก็อยากมาลงทุนในประเทศ โครงการขนาดใหญ่ก็เดินหน้า เช่น อีอีซี ไม่ต้องการให้เกิดการสะดุด หน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแลความสงบเรียบร้อยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐบาลจะใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้ภาคเอกชนไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายไม่ต้องการให้ออกมานอกสภา“

ทั้งนี้การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ยอมรับว่ามีผลต่อภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมองว่าไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน มีความสงบเรียบร้อย ดังนั้นแต่ละฝ่ายควรเจรจากัน ขณะเดียวกันรัฐบาลจะต้องปฏิบัติเรื่องนี้ด้วยความละเอียดอ่อน

ส่วนการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อการจัดอันดับเครดิตเรทติ้งของไทยหรือไม่นั้น นายกลินท์ ระบุว่า ไม่น่าจะมีผลเพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง