10 ปีผ่านไป เกิดอะไรกับค่าครองชีพ

10 ปีผ่านไป เกิดอะไรกับค่าครองชีพ

ย้อนดูค่าแรง-ค่าครองชีพ 10 ปี แต่ละปีปรับขึ้นเท่าไร ปรับขึ้นแล้ว อย่างไรต่อ?

ค่าครองชีพ และปากท้อง เป็นหนึ่งในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนในสังคมมาตลอด เพราะทุกคนต้องเจอในชีวิตประจำวัน

การที่ประชาชนอย่างเราๆ ผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้น ต้องมีความสมดุลกันระหว่างค่าแรงที่ได้รับกับค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จะต้องจ่าย ซึ่งรัฐบาลผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดอัตรากลางต่างๆ ให้ก็ต้องคำถึงถึงความ “อยู่ได้” ของผู้คนด้วย โดยเฉพาะในสภาพสังคม และเศรษฐกิจแบบนี้ ที่คำว่า “อยู่ได้” ก็ยังไม่อาจะคาดเดาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า จะสมหวังได้หรือเปล่า

ล่าสุด กรมแรงงานกำหนดให้ปีหน้าค่าแรงรายวันของเหล่าประชาชนผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6 บาท ฟังดูเหมือนเป็นข่าวดี แต่ก็ยังมีข้อเท็จจริงที่น่าสังเกตซ่อนอยู่ในการปรับขึ้นค่าแรงไม่น้อยเลยทีเดียว

ขึ้นแล้ว แต่ยังขึ้นไม่พอ

การเพิ่มของค่าแรง เป็นหนึ่งในปัจจัยสะท้อนว่าค่าครองชีพที่มีอยู่ในขณะนั้นเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ค่าแรงรายวันจำเป็นที่จะต้องดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย แม้จะเคยมีหลายคนบอกวิธีบริหารจัดการแบ่งสัดส่วนค่าแรงรายวันกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ ออกเป็นสัดส่วนให้ทำตามแล้ว แต่ก็ถือว่า “ยาก” เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายที่แม้เพียง “ค่าข้าว” ก็ยังสูงและกินพื้นที่ในสัดส่วนรายได้ที่ได้รับอยู่พอสมควร

หากลองทบทวนการขึ้นค่าแรงในกรุงเทพฯ เทียบกับการขึ้นค่าข้าวตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา อาจจะมองเห็นภาพและจำนวนตัวเลขที่จะต้องเสียไปชัดขึ้น

เมื่อปี 2553 กระทรวงแรงงานกำหนดให้ค่าแรงรายวันของลูกจ้างที่ใช้แรงงานในกรุงเทพฯ อยู่ที่วันละ 206 บาท ในขณะที่ถัดมาอีก 10 คือปี 2562 ค่าแรงในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 325 บาท ถือว่าเพิ่มขึ้นมาจาก 10 ปีก่อน 119 บาทหรือราว 57.7%

เราจะลองนำการปรับขึ้นของค่าแรงนี้มาเทียบกับสิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่คนเราทุกคนจำเป็นต้องจ่ายดู  นั่นก็คือ ค่าอาหาร แม้ค่าอาหารของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันในแต่ละวัน แต่ก็มี “ค่าข้าว” ที่แรงงานจะต้องจ่ายเป็นอย่างต่ำมาคำนวณ อย่าง ราคาข้าวกะเพราหมูหรือไก่ เมนูมาตรฐานที่คนมักจะกินเป็นลำดับต้นๆ ของอาหาารตามสั่ง

โดยค่าข้าวกะเพราเมื่อสิบปีก่อน มีราคาอยู่ที่ราว 20-25 บาท คิดเป็น 9.71% ของเงินค่าแรงรายวัน (206 บาท) ในขณะที่สิบปีถัดมา ค่าข้าวกะเพราก็ขยับมาอยู่ที่ 40-50 บาท ส่วนค่าแรงคือ 325 บาท คิดเป็นประมาณ 12% ของค่าแรงรายวันต่อข้าวกะเพราหนึ่งมื้อ

แต่ในความเป็นจริง คนเราปกติที่กินข้าว 3 มื้อ ก็จะต้องจ่ายค่าข้าววันละ 120 บาท หรือ 36% ของเงินค่าแรง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เปอร์เซ็นต์ค่าข้าวที่ต้องหักออกจากค่าแรงนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และไม่สัมพันธ์กับค่าแรงที่ได้รับในปัจจุบัน ซึ่งจากปี 2553 จนมาถึงปี 2562 นี้ ตลอด 10 ที่ผ่านมา ราคาค่าข้าวกะเพราเมนูเดิมนั้น ปรับขึ้นมากกว่าเท่าตัว คือจาก 20 บาท มาเป็น 40-50 บาท ซึ่งถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็จะเท่ากับว่า ราคาข้าวกระเพราปรับขึ้นในสิบปีนั้นสูงถึง 150%

ที่สำคัญคือ การคำนวณนี้ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ทั้งค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่ายา หรือค่าของใช้ต่างๆ เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องซื้ออยู่เรื่อยๆ ทุกเดือน

และหากจะเทียบกับการกำหนดค่าแรงรายวันในต่างประเทศ อย่าง ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม 2562 ระบุว่า ค่าแรงญี่ปุ่นขั้นต่ำที่สุดในจังหวัดคาโงชิมะอยู่ที่ชั่วโมงละ 761 เยน หรือประมาณ 220 บาท คิดเป็นค่าแรงรายวันที่ทำงาน 8 ชั่วโมงก็จะเท่ากับ 1,760 บาทโดยประมาณ

ถัดมาจึงมาดูที่ราคาอาหารโดยมาตรฐานของญี่ปุ่น เช่น ข้าวหน้าเนื้อ หรือราเม็ง จะมีราคาอยู่ที่ 600-800 เยน เท่ากับประมาณ​ 125-220 บาท คำนวณได้เป็น 9.3% ของค่าแรงวันละ 1,760 บาท สำหรับอาหารหนึ่งมื้อ ซึ่งถ้าคิดเป็น 3 มื้อต่อวัน ก็จะอยู่ที่ 28.1%

158825444161

ขึ้นแล้ว แต่ก็นานมาแล้วในอดีต

ในอีกด้านหนึ่งของการจ่ายค่าจ้าง อัตราเงินเดือนพนักงานบริษัทเอกชนที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี ก็พบข้อสังเกตอีกเช่นเดียวกันว่า นอกจากไม่ได้มีการกำหนดฐานเงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานหรือแม้กระทั่งเด็กจบใหม่ด้วยวุฒิปริญญาตรีแล้ว เงินเดือนขั้นต่ำโดยเฉลี่ยของพนักงานจบใหม่ในบริษัทเอกชนวุฒิปริญญาตรีในรอบ 10 ปี ยังมีอัตราเพิ่มขึ้นเพียง 25% เท่านั้น คือเริ่มต้นที่ 12,000 บาทในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาทในปี 2562 ซึ่งเป็นอัตราที่คงที่เท่าเดิมมาตั้งแต่ปี 2558

หากใช้วิธีคำนวนเดียวกับการคำนวณค่าข้าวกะเพราและค่าแรงรายวัน จะพบว่า เมื่อสิบปีที่แล้ว เงินเดือนที่พนักงานจบใหม่วุฒิปริญญาตรีจะได้รับ คือ 12,000 บาท คิดเป็นค่าข้าวทุกมื้อ 20 บาท สามมื้อต่อหนึ่งเดือนจะเป็น 1,800 บาท หรือ 15% ของเงินเดือน

ส่วนในปีปัจจุบัน เงินเดือนขั้นต่ำปรับขึ้นเป็นเดือนละ 15,000 บาท จะแบ่งเป็นค่าข้าวราคา 40 บาททุกมื้อ รวมกันหนึ่งเดือนอยู่ที่ 3,600 บาท เท่ากับว่า แค่ค่าข้าวอย่างเดียว ก็เท่ากับ 24% ของเงินเดือนทั้งหมดที่ได้รับแล้ว

แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการใช้จ่ายของพนักงานเอกชนในกรุงเทพฯ อีก นั่นก็คือสถานที่ตั้งของที่ทำงาน ที่มักจะรวมตัวอยู่ในย่านใจกลางเมือง มีการจราจรที่หนาแน่น ซึ่งแน่นนอนว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย ที่อาจจะทำให้ไม่มีอาหารราคาต่ำถึง 40 บาททั้งราคาอาหาร ค่าเดินทาง หรือแม้กระทั่งค่าที่พัก

นอกจากนี้ การที่ค่าแรงรายวันหรือเงินเดือนของประชาชนไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพ ยังส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น ทำให้เกิดความลำบากต่อการเก็บออม การลงทุน หรือเงินสำรองจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน

และแม้ว่าการพยายามบริหารเงินให้เหมาะสมพอใช้จะเป็นวิธีที่ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องทำแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้จะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างถาวรหากผู้บริหารประเทศในภาคใหญ่ไม่กำหนดอัตรารายได้ให้สัมพันธ์กันกับค่าครองชีพ ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคต ค่าแรงและค่าครองชีพ อาจเริ่มขยับห่างกันมากขึ้นทุกทีก็ตาม.

แม้ค่าแรงจะปรับเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นค่าแรงที่เพิ่มขึ้นสูงมากพอต่อรายจ่ายครองชีพ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างของรายได้กับรายจ่ายที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และผู้ที่มีรายได้น้อยอาจจะต้องลำบากในการรับภาระค่าใช้จ่ายประจำวันที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นในอนาคต

อ้างอิง:

https://www.thaijinjob.com/post-1/%E0%B8%84-%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%82-%E0%B8%99%E0%B8%95-%E0%B8%B2%E0%B8%95-%E0%B8%AD%E0%B8%8A-%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%8D-%E0%B8%9B-%E0%B8%99

https://prachatai.com/journal/2019/03/81404

https://www.japankakkoii.com/japan-travel/food-price-in-japan/

https://www.spu.ac.th/activities/8935