'โลกป่วน' ทุบหุ้นไทยรูด 27 จุด ผวา 'สหรัฐ-อิหร่าน' บานปลาย โรคระบาดจีนรุมเร้า
หุ้นไทยดิ่งหนักเฉียด 27 จุด สารพัดปัจจัยรุมเร้า ทั้งความขัดแย้งระหว่าง “สหรัฐ-อิหร่าน” รวมทั้งโรคระบาดในจีน “ไพบูลย์” เชื่อยังไม่ถึงขั้นเกิดสงครามจริง แต่ความไม่สงบคงเกิดขึ้นเป็นระยะ พร้อมระบุผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย พบต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ม.ค.) ปรับตัวลดลง 26.47 จุด หรือ ลดลง 1.66 % มูลค่าการซื้อขาย 71,208.83 ล้านบาท ถูกกดดันจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านประกาศตอบโต้สหรัฐ รวมทั้งยังมีปัจจัยลบจากเรื่องโรคระบาดในจีน
ด้านนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,603.18 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 329.69 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 932.24 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,350.25 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า สถาณการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางนั้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่เข้ามากระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง โดยนักลงทุนต้องระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ว่าหลังจากนี้จะมีพัฒนาการไปอย่างไร ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีตอนนี้ และการวิเคราะห์โดยสื่อต่างประเทศ ยังมองว่า สงครามยังไม่ใช่ทางออกสุดท้ายที่ทั้ง 2ฝ่ายจะทำ เพราะหากเกิดสงครามเกิดขึ้นผลเสียหายที่ตามมานั้นค่อนข้างมาก ขณะที่สหรัฐเตรียมที่จะเลือกตั้งในปลายปีนี้ และอิหร่านยังไม่พร้อมทำสงคราม
ทั้งนี้เชื่อว่า สถานการณ์คงไม่ลุกลามจนกลายเป็นสงคราม เพียงแต่ความไม่สงบอาจเกิดขึ้นเป็นระยะ หากอิหร่านมีการตอบโต้ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ขึ้นไปจนแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะ ยังมีปริมาณการผลิตจากสหรัฐ ค่อนข้างมากจากเชลล์แก๊ส จึงเชื่อว่าเหตุการณ์คงไม่เลวร้ายจนทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะถดถอย ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ไม่น่ากระทบมาก เพราะ ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้นำเข้าน้ำมันถูกลง
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ลดลงแรงมาจาก 2 ปัจจัย คือ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น หลังอิหร่านประกาศตอบโต้สหรัฐ และทางอิหร่านจะเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเมียมอย่างเต็มที่ ไม่ปฎิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ ทำให้กังวลว่าจะเกิดสงคราม ส่งผลต่อราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทบกับกลุ่มที่มีการใช้น้ำมันเป็นต้นทุนดำเนินงาน เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง สายการบิน ฯลฯ ปรับตัวลดลง รวมถึงปัจจัยลบเรื่องโรคระบาดที่ประเทศจีน ซึ่งหลายประเทศก็เฝ้าระวัง เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ( 7 ม.ค.) คาดว่ามีโอกาสปรับตัวลดลงต่อ หากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังไม่มีสัญญาดีขึ้น โดยมองแนวรับที่ระดับ 1,555 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,580 จุด
ด้าน นายไพบูลย์ กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนม.ค. 2563 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ( มี.ค.)ปรับตัวลดลงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่5ติดต่อกัน อยู่ที่ 80.75 ลดลง 8.17 % จากสำรวจครั้งก่อน และถือว่าต่ำที่สุดตั้งแต่มีการจัดทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น โดยปัจจัยกัดดันเรื่องการเจรจากการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ในเฟสต่อไป จะมีการเจรจากันยาก เพราะไม่ใช่เรื่องการค้าแต่เป็นเรื่องที่สหรัฐ ต้องการจะหยุดการพัฒนาด้านไอทีของจีน ฯลฯ ซึ่งคาดว่าจะมีความยืดเยื้อ โดยเบื้องต้นเชื่อว่าเซ็นสัญญากันได้หลังจากเลือกตั้งของสหรัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศ เติบโตชะลอตัว การลงทุนภาครัฐและเอกชนลดลง กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังเติบโตไม่ดี แม้จะฟื้นตัวแต่มาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ที่มีการติดลบประมาณ 6-7 % รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ