'รายใหญ่' แนะทยอยเก็บหุ้นปันผล ชี้ภาวะตลาดไม่สดใสทำกำไร 'ยาก'
“นักลงทุนรายใหญ่” มองตลาดหุ้นไทยปี63 "ไม่สดใส" ปัจจัยหนุนมีน้อย ทำให้ลงทุนยากขึ้น "นิเวศน์” แนะเลือกหุ้นปลอดภัย-หุ้นปันผลดี ด้านเทรดเดอร์ “หยง” ชี้รอเก็บหุ้นพื้นฐานดี พร้อมจับจังหวะสะสมหุ้นขาขึ้น ฟาก “โจ ลูกอีสาน”เร่งกระจายพอร์ตลงทุนในต่างประเทศ
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เปิดเผยว่า ในปี 2563 การลงทุนในตลาดหุ้นไม่น่าจะดีเท่าไหร่นัก เพราะปัจจัยหนุนมีค่อนข้างน้อย ปัจจุบันพี/อีของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับเกือบ 20 เท่า ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากสถิติพบว่าทุกครั้งที่พี/อีตลาดอยู่ในระดับสูง ภาวะตลาดหุ้นมักไม่ค่อยดีและมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงสูง
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ไม่ค่อยเติบโต หลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างกลุ่มพลังงาน,ธนาคารพาณิชย์ และสื่อสาร แนวโน้มไม่ค่อยสดใส ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) นักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่าจะเติบโตได้แค่ระดับ 2% กว่าเท่านั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกหุ้นที่ปลอดภัย หรือ Defensive Stock โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐาน จ่ายหุ้นปันผลดี ไม่ถูกดิสรัปชั่น เพราะเชื่อว่านาทีนี้การจับจังหวะเล่นหุ้นระยะสั้นนั้นค่อนข้างยากแล้ว จึงจำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของธุรกิจที่มั่นคงและมีกำไรดี เน้นถือยาวเพื่อรอรับเงินปันผลแทน
ส่วนหุ้นที่ไม่แนะนำให้เลือกลงทุนคือ หุ้นที่มีราคาแพงแล้วหรือมีค่าพีอีระดับสูงๆ เพราะแม้ธุรกิจจะดูดีแค่ไหนหากระดับพีอีสูงกว่าระดับ 40-50 เท่าขึ้นไปก็แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากประเมินว่าหุ้นที่มีระดับพีอีสูงๆก็ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกขายทำกำไรมากกว่าหุ้นตัวอื่นๆ
“ผมว่ารวมๆปีหน้าการลงทุนคงจะเหนื่อยขึ้น เพราะแรงส่งที่ส่งเสริมตลาดหุ้นจะด้อยลง จึงจำเป็นต้องปรับพอร์ตให้กระจายความเสี่ยงหรือเลือกหุ้นที่ทนทาน เช่น หุ้น Defensive หรือหุ้นปันผลดีเป็นหลัก เพราะจะเป็นตัวหนุนสำคัญที่ดันพอร์ตลงทุนว่าจะอยู่ได้หรือไม่ได้”
ส่วนพอร์ตลงทุนของตนในปี 2562 ยังเป็นบวกอยู่แต่ไม่มาก ตอนนี้ผลตอบแทนระดับ 5% ก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะภาวะการลงทุนในปัจจุบันทำกำไรได้ค่อนข้างยาก หากหวังลงทุนแล้วได้กำไรเร็วๆก็คงต้องเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่การเล่นถือยาวก็ต้องเลือกตัวให้รอด ซึ่งยอมรับว่าเป็นปีที่ลำบากและพยายามไม่ให้พอร์ตลดลง
นายธำรงชัย เอกอมรวงศ์(หยง) นักลงทุนรายใหญ่และเทรดเดอร์มืออาชีพ กล่าวว่า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยปี2563จะแกว่งตัวผันผวน (ไซด์เวย์) และไม่มีการเติบโต กำไรของบจ.จะเติบโตขึ้นได้คงยาก ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นต่อ จึงคาดว่าดัชนีฯน่าจะแกว่งในกรอบ 150-170 จุด หรือบริเวณระดับ 1,550-1,750 จุด
ด้านกลยุทธ์การลงทุนนั้น ส่วนตัวคิดว่าหากเห็นราคาหุ้นลงมาถูกก็คงเข้าไปรับ แต่ต้องเน้นเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี พร้อมแนะนำจับจังหวะหุ้นที่มีสัญญาณปรับตัวขาขึ้นอย่างต่อเนื่องและค่อยๆเข้าไปทยอยซื้อสะสมแบบถัวเฉลี่ย ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสทำกำไรมากกว่าหุ้นปกติทั่วไป
สำหรับกลุ่มหุ้นที่ควรติดพอร์ตไว้ในปี 2563 ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจที่ปล่อยกู้,2.ธุรกิจเร่งรัดหรือติดตามหนี้สิน และ3.กลุ่มธุรกิจการขายแฟรนไซส์ เนื่องจากเชื่อทิศทางธุรกิจเหล่านี้ยังมีการเติบโตได้ แม้ในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นๆยังไม่เห็นทิศทางการเติบโตโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่คาดว่าราคาหุ้นหลายตัวถือว่าไม่ถูกแล้ว
“ปี2562 ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนยังคงเป็นบวกราว 38% จากการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ปีหน้าต้องยอมรับว่ายังดูไม่ออกว่าเลยว่าพอร์ตจะเป็นอย่างไร ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นพอร์ตติดลบได้เหมือนกัน”
นายอนุรักษ์ บุญแสวง(โจ ลูกอีสาน)นักลงทุนรายใหญ่ด้านสายVI กล่าวว่า มุมมองภาวะการลงทุนปี2563 เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจก็คงจะยังไม่ดี และภาวะตลาดหุ้นก็น่าจะเหมือนกับปี 2562 โดยกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้เน้นเลือกหุ้นพื้นฐานดีและกระจายพอร์ตลงทุนออกไปในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ ยอมรับว่าอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่เน้นถือหุ้นขนาดเล็กมาถือหุ้นในกลุ่มที่เป็นเป้าหมายพวกกองทุนถือครองแทน เพราะกลุ่มกองทุนเริ่มมีบทบาทในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
“มุมมองการลงทุนของผมยังหดหู่ เพราะพอร์ตขาดทุนมา 2 ปีติดต่อกันแล้ว โดยปีหน้าจะเน้นการกระจายลงทุนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพราะมองว่าการพึ่งพิงหุ้นในประเทศอย่างเดียวก็คงเหนื่อย ขณะที่หุ้นไทยเชื่อว่ายังมีหุ้นที่ดี แต่อาจต้องทำการบ้านมากขึ้น”