เกษตรตั้ง ทีมเอกซ์เรย์สหกรณ์ป้อง 'เสี่ยง'
กรมส่งเสริมสหกรณ์มั่นใจทีมเอกซ์เรย์ความเสี่ยง หลังตามแก้ปัญหาสหกรณ์สโมสรรถไฟได้ทันควัน ชี้ยังดำเนินการเป็นปกติ พร้อมเล็งลดเพดานเงินปันผลลงจาก 10 % อ้างเป็นเหตุเสี่ยงสูงขึ้น
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ว่า ได้การร้องเรียนจากสมาชิกสหกรณ์ฯ ที่ไม่สามารถเบิก ถอนเงินจากสหกรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ แต่จากการสอบถามคณะกรรรมการ พบว่า สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัดยังดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่หลังจากนี้ อยากให้ทุกสหกรณ์ดำเนินการด้วยความตรงไปตรงมา โดยจะมีการร่างพ.ร.บ. และกฎหมายของกฎกระทรวงฯ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ใหม่ ให้มีความกระชับมากกว่านี้ เช่น กำหนดเกณฑ์ในการเปิดสหกรณ์ โดยผู้เปิดจะต้องมีหลักทรัพย์ที่มั่นคง ถึงจะเปิดให้มีการฝาก หรือกู้เงินได้ เป็นต้น
ส่วนกรณีที่ 15 สหกรณ์ ที่นำเงินมาฝากกับสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด นั้นเบื้องต้น ได้ชำระคืนไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 1.8 พันล้านบาท ส่วนที่สหกรณ์สโมสรรถไฟ ไปกู้เงิรจากสหกรณ์ทั้ง 5 แห่ง ขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบจึงได้ทำการชะลอการชำระหนี้ชั่วคราว จนกว่าจะมีการตรวจสอบเรื่องของผู้แทนและการพิจารณาในการกู้ยืมระหว่างสหกรณ์ได้อย่างถูกต้อง หากตรวจสอบแล้วพบว่าสหกรณ์ที่มียื่นคำร้องมีการดำเนินการถูกต้อง จะทำเรื่องคืนเงินให้แก่สหกรณ์นั้นๆ ต่อไป
“เบื้องต้นได้หารือกับกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ในเรื่องของการปรับกฎระเบียบและข้อกฎหมายให้รัดกุมมากขึ้น เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย การตั้งเพดานอัตราเงินกู้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นต้นโดยจะเร่งดำเนินการปรับปรุงสหกรณ์ทั่วประเทศ เพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อไป”
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ในขณะนี้สหกรณ์ออมทรัพย์การรถไฟ สามารถบริหารจัดการได้ตามปกติ แม้ว่าจะยังมีปัญหากรณีอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด กับพวกรวม 6 ราย ปล่อยเงินกู้ 199 สัญญา วงเงิน 2,200 ล้านบาท ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี โดยในวันที่ 16 ม.ค.นี้จะส่งฟ้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
ทั้งนี้การบริหารงานของสโมสรรถไฟ ปัจจุบันมีสภาพคล่อง เดือนละ 50 ล้านบาท สามารถปล่อยกู้กับสมาชิกได้ แต่การถอนเงินฝากจะขอความร่วมมือทำได้ไม่เกิน10 % ของยอดเงินฝากไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับเงินทุนหมุนเวียน สำหรับ 5 สหกรณ์เจ้าหนี้ของสหกรณ์สโมรสรรถไฟ ปัจจุบันได้ยื่นฟ้องเรียกร้องหนี้สินไปแล้ว 3 ราย คือ สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลพญาไทย สหกรณ์ออมทรัพย์วชิรพยาบาล และสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ซึ่งพบว่าได้ส่งผลกระทบเล็กน้อยกรณีเงินปันผลลดลง
แต่ทั้ง 3 สหกรณ์ได้อธิบบายเหตุผลใหสมาชิกรับฟังแล้วจึงเหลือ แต่สหกรณ์ออมทรัพย์การยางแห่งประเทศไทย สหกรณ์ออมทรัพย์สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จํากัด รวมวงเงิน 800 ล้านบาท ที่ยังไม่ยื่นฟ้อง เนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาการตั้งเงินทุนสำรองความเสี่ยงสงสัยว่าหนี้จะสูญ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ให้ความเห็นว่าควรดำเนินการยื่นฟ้องให้แล้วเสร็จเพื่อรักษาสิทธิ์การชำระหนี้ของสหกรณ์สโมสรรถไฟ เอาไว้
“กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าปัญหาของสหกรณ์สโมสรรถไฟจะส่งผลกระทบกับสมาชิกทั้งของสหกรณ์เองและสหกรณ์ผู้เป็นเจ้าหนี้รวมกว่า 1 หมื่นคนขึ้นไปนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะสหกรณ์สโมสรรถไฟ ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่หาก2 สหกรณ์ไม่แจ้งฟ้องร้องดำเดินคดี ก็จะมีผลกระทบกับสมาชิกของทั้ง 2 สหกรณ์ กว่า 4,000 คน เท่านั้น “
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหกรณ์สโมสรรถไฟ ถือว่ายังไม่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับปัญหาของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ที่มีการตบแต่งบัญชี ติดตามตรวจสอบยาก ในขณะที่สหกรณ์สโมสรรถไฟ ระบบการเอกซ์เรย์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ตั้งทีมเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงได้ตรวจพบปัญหาก่อนจะบานปลาย ทำให้สามารถฟ้องบังคับดำเนินคดีอดีตคณะกรรมการสหกรณ์ฯได้ทัน
ปัจจุบันทีมวิเคราะห์ความเสี่ยงการบริหารสหกรณ์ได้ขอข้อมูลจากทุกสหกรณ์เพื่อใช้ในการเตือนภัย คาดหวังว่าจากนี้ไปจะไม่เกิดปัญหาขึ้นอีก ระบบสหกรณ์ยังมีความมั่นคงสูง อย่างไรก็ตามจากการสำรวจเงินสินทรัพย์สหกรณ์ภาพรวมขณะนี้มีทั้งสิ้น 3.2 ล้าน ล้านบาท ในจำนวนนี้ 2.6 ล้านล้านบาทเป็นของสหกรณ์ออมทรัพย์ ถือเป็นเงินจำนวนมาก จึงร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลัง หาแนวทางวางกรอบการบริหารเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ในเบื้องต้นกรมส่งเสริมสหรกรณ์ ได้ออกกฎกระทรวงแล้ว 13 ฉบับเหลืออีก 7 ฉบับคาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาให้แล้วภายในเดือนนี้ จะส่งผลให้การบริหารความเสี่ยงของเงินสินทรัพย์สหรกรณ์น้อยลง
“เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว แนวคิดของกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยจะคุมอัตราดอเบี้ยเงินฝากไม่ให้สูงเกินไปจากปัจจุบันอยู่ที่ ไม่เกิน 4 % และลดเพดานการจ่ายเงินปันผลลงจากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 10% เนื่องจากเป็นสาเหตุของสหกรณ์ที่ต้องการหารายได้เพื่อมาจ่ายเงินปันผลสูงๆ จูงใจให้สมาชิกเลือกกลับเข้ามาเป็นคณะกรรมการสหกรณ์อีกครั้ง ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่มีกำหนดเพดานเอาไว้ แต่จะเป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยปกติ อยู่แล้ว”