'วราวุธ' ชงครม.ใช้ยาแรงแก้ฝุ่นพิษ ชี้เกาหลีห้ามรถวิ่งในเขตเมือง
รมว.ทส. ชงครม.ใช้ยาแรงแก้ฝุ่นพิษ ชี้เกาหลีห้ามรถวิ่งในเขตเมือง เล็งประกาศสถานสภาวะฉุกเฉินก่อนเกิดเหตุ
เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น ว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม มีนโยบายต่างๆ ออกมาทั้งการขอความร่วมมือประชาชนและเปลี่ยนมาตรฐานของเครื่องยนต์ รถประจำทาง จึงทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้าย ซึ่งในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ปลัดกระทรวงฯในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมมลพิษจะประชุม เพื่อหามาตรการ หายาที่แรงขึ้นเพื่อนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และจอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)ต่อไป
ทั้งนี้ ขอเรียนให้ประชาชนได้ทราบว่าปัญหา PM 2.5 จำนวน 72 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่กทม.มาจากยานพาหนะ ซึ่งเป็นรถบรรทุกกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์มาจากรถกระบะ ภาคอุตสาหกรรม 18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมาจากรถยนต์ประเภทอื่นๆ จึงต้องถามไปยังสังคมว่าหากรัฐบาลออกมาตรการเข้มงวดจะรับได้หรือไม่
“ส่วนมาตรการเข้มงวดหรือยาแรงที่จะออกมาบังคับใช้ยังไม่ขอเปิดเผย แต่ต้นเหตุของการเกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจากรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรถบรรทุกและรถกระบะ เช่น ยาแรงของประเทศเกาหลีใต้ ประกาศห้ามรถยนต์วิ่งในเขตเมือง เป็นต้น" นายวราวุธ กล่าว
นอกจากนี้ สภาพอากาศก็มีส่วน เนื่องจากต้นปีสภาพความกดอากาศต่ำ ทำให้การเคลื่อนตัวของอากาศน้อยลง ในขณะที่ฝุ่น PM2.5 มีปริมาณเท่าเดิม และเมื่อไปถึงช่วงกลางปีปริมาณ PM 2.5 ก็จะลดลง จึงต้องถามสังคมว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะเรารู้ต้นตอของปัญหาแล้ว ดังนั้นมาตรการเข้มงวดจะดำเนินการเป็นห่วงเวลาที่คับขันเท่านั้น โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีปัญหาการเผาไหม้ ซึ่งจะจัดระบบการเผาในห้วงต้นปี
นายวราวุธ กล่าวต่อว่า อีกทั้งมาตรการต่างๆจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากต้องประกาศสภาวะฉุกเฉินก่อน จึงเกิดข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นจะต้องมาพิจารณาร่วมกันในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก่อนจะเกิดปัญหาได้หรือไม่ เพื่อใช้มาตรการเข้มงวดก่อนปัญหาจะเกิดขึ้น อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับไปยังกรมการขนส่งมวลชนในเรื่องการตรวจจับควันดำและรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐานและเข้มงวดการตรวจสภาพรถประจำปี อย่างไรก็ตามเรามีการแจ้งเตือนประชาชนทุกระยะในเรื่องการดูแลสุขภาพ อีกทั้งประชาชนก็ยังตื่นตัว