แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2020
ในช่วงปีที่ผ่านมา กำไรของบริษัทจดทะเบียนในหลายๆ กลุ่ม มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้มีปี 2020 สถานการณ์น่าจะดีขึ้น มองเห็นกำไร แต่มีเพียงกลุ่มเดียวที่ยังคงน่าเป็นห่วง คือบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นกลับมา
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียง 1% ในปีที่ผ่านมา แม้จะยังเป็นบวก แต่ก็ถือว่าบวกน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นในระดับกว่า 10% โดยเฉพาะในแถบอเมริกา และยุโรป ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่เป็นตัวกดดัน SET Index คือการถูกปรับลดลงของกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทย จากเดิม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กำไรของตลาดหุ้นในปี 2019 จะเติบโตในระดับเกือบ 10% และต่อมาได้ถูกปรับลดลงเรื่อยๆ และคาดว่ากำไรในปีที่แล้วน่าจะติดลบจากปีก่อนประมาณ 3% ทำให้ EPS ของตลาดน่าจะอยู่ที่ 90 บาทในปี 2019
ทว่า ในปี 2020 กำไรของบริษัทจดทะเบียนจากที่ถูกปรับลดลงไปมากแล้วนั้น ยังแนวโน้มเติบโตขึ้นประมาณ 10-11% จากปี 2019 คิดเป็น EPS ที่ประมาณ 100 บาท โดยการเติบโตของกำไรส่วนหนึ่ง จำนวนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น EPS ประมาณ 3 บาท มาจากการหายไปของค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้นจาก 300 วัน เป็น 400 วัน ที่บริษัทเกือบทั้งหมดได้หักเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ไปในปีที่ผ่านมา
กำไรที่เติบโตอีกส่วนมาจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งกำไรของหุ้นในกลุ่มนี้คิดเป็นถึง 1 ใน 4 ของกำไรทั้งหมดของตลาด ซึ่งกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวจากราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มมีเสถียรภาพขึ้นในปีนี้ จากสถานการณ์ของสงครามทางการค้าที่คลี่คลายขึ้น หลังสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในสัญญาเจรจาการค้ากับจีน เพื่อชะลอการขึ้นภาษีบางส่วนออกไป ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น บริษัทในกลุ่มนี้จึงจะมีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบลดลง และน่าจะมีกำไรเติบโตได้ในระดับ 15% ในฝั่งของปิโตรเคมีและปิโตรเคมีภัณฑ์นั้น เริ่มเห็นการฟื้นตัวของราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ในปีนี้ ทำให้คาดการณ์กำไรของบริษัทในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 40%
กลุ่มบริษัทที่ใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งคือ ธนาคารพาณิชย์ ที่มีกำไรรวมคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของกำไรตลาด มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน หลังจากที่ผลการดำเนินงานไม่ค่อยดีในปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารหลายแห่ง มีการตัดจำหน่ายหนี้สูญและตั้งสำรองค่าเผื้อหนี้สงสัยจะสูญค่อนข้างมากในปีที่แล้ว สินเชื่อเติบโตต่ำ อีกทั้งยังถูกกดดันจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสองครั้ง ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเติบโตน้อย
แต่ในปี 2020 สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้น หลังการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS 9 ธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มตั้งสำรองลดลง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเผื่อส่วนเกิน หรือที่เรียกว่า General Provision ไว้อีก และอาจนำสำรองส่วนเกินมาลดการตั้งสำรองปรกติในปีต่อๆ ไปได้ 5 ปี ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้แนวทางไว้ นอกจากนี้ การเติบโตของสินเชื่อน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ จากการที่งบประมาณของภาครัฐที่ล่าช้ามาตั้งแต่ปีที่แล้วน่าจะเบิกจ่ายได้ภายในเดือนหน้า ทำให้โครงการต่างๆ ของรัฐน่าจะเริ่มเดินหน้า และทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นได้
สำหรับกำไรของกลุ่มอื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มีเพียงกลุ่มเดียวที่ยังน่าเป็นห่วง คือบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หากยังจำความกันได้ ในช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะบังคับใช้มาตรการควบคุมวงเงินการปล่อยสินเชื่อบ้านหลังที่สอง บริษัทต่างๆ มีการออกแคมเปญจูงใจให้ลูกค้าเร่งการโอน ทำให้กำไรของหลายบริษัทในกลุ่มเติบมากในไตรมาส 1 ปี 2019 และทำให้เป็นฐานที่สูงในปีนี้ และหลังจากนั้น ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด บริษัทต่างๆ เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ๆ และบางโครงการที่เปิดตัว ก็มียอดการจองค่อนข้างต่ำเพียง 20-30% เท่านั้น แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกเกณฑ์ผ่อนคลายการควบคุมวงเงินออกมาใหม่ แต่คงจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวอีกครั้ง
นอกจากกำไรของตลาดหุ้นที่น่าจะพยุงตลาดหุ้นไว้ได้แล้วนั้น ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกเล็กน้อยนั้น จะยังคงหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้จะเริ่มย้ายการลงทุนจากสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล มาสู่สินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น เช่น หุ้น พร้อมกับความต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ค่าพีอีของตลาดที่เหมาะสมจะอยู่ระหว่าง 15.5-17.8 เท่า
เมื่อนำมาคูณกับ EPS ตลาดที่ 100 บาทนั้น จะได้เป้าหมาย SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1550-1783 จุด ซึ่งระดับดัชนีปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในโซนต่ำ และยังมีอัพไซด์อีกประมาณ 8% ส่วนในฝั่งดาวน์ไซด์นั้น ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนว่าจะเติบโตตามที่คาดหรือไม่ เพื่อลดความเสี่ยงตรงนี้ นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนในหุ้นที่สามารถคาดคะเนผลประกอบการได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าหรือปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้มากจนเกินไป จึงจะทำให้ลงทุนได้อย่างสบายใจครับ