กลุ่ม 'รพ.-หน้ากาก-ประกัน' หุ้นต้านวิกฤติไวรัสโคโรนา
ต้นตอโรคระบาดไวรัสโคโรนาที่ประเทศจีน แต่กลายเป็นวิกฤติที่กระทบไทยอย่างหนักไปแล้ว สะท้อนได้จากตลาดหุ้นไทยวานนี้ (27 ม.ค.) ที่ปรับตัวลดลงหนักตั้งแต่ทำการซื้อขายถึง 45 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลงเกือบ 3 %
ปัจจัยที่ทำให้มีแรงกระหน่ำขายออก คือ ตื่นตะหนก และไม่เชื่อมั่นการป้องกันโรคระบาดของไทย เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนอันดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็น 28 % ที่เดินทางมายังไทยช่วงเทศกาลตรุษจีนจำนวนมาก
บวกกับสถานการณ์การติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ แม้ทางการจีนออกมาตรการเข้มให้บริษัททัวร์หยุดการนำนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกจากประเทศไปยังทุกประเทศทั่วโลก เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา เป็นระยะเวลา 2 เดือน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.63 ในอีกทางหนึ่งนั้นหมายถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นธุรกิจด้านการท่องเที่ยวไล่มาตั้งแต่ สนามบิน สายการบิน โรงแรม บริษัททัวร์ และสินค้าบริการที่คนจีนชอบช้อปปิง น่าจะได้รับผลกระทบเต็มๆในช่วง ไตรมาส 1 ปี 2563 จากเดิมที่คาดว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น
หากแต่ทุกวิกฤติย่อมมีธุรกิจที่ย่อมได้ประโยชน์ร่วมอยู่ด้วยและวิกฤติไวรัสโคโรนาเช่นเดียวกัน มี 3 กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงอย่างชัดเจน ประกอบไปด้วย กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ และกลุ่มประกัน
กลุ่มโรงพยาบาลถือว่าเป็นหุ้นกลุ่มแรกๆ ที่ ประชาชนจะนึกถึงหากเกิดโรคระบาด และกลายเป็นปัจจัยจำเป็น ซึ่งโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากที่สุด บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS มีสัดส่วนผู้ป่วยคนไทย 70 % และต่างชาติ 30 %
และ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH อยู่ที่ มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมากถึง 64.4 % ที่เหลือผู้ป่วยคนไทย 35.6 % โดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุประเด็นโรคระบาดปัจจัยเชิงลบในระยะสั้น และหากอิงข้อมูลในอดีตกรณีมีโรคระบาด ราคากลุ่มโรงพยาบาลไม่ได้ถูกกระทบ
อย่างไรก็ตามเมื่อดูสัดส่วนลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาลมาจากลูกค้าจีนสูง พบว่ามี บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าจีนราว 12%(จากสัดส่วนรายได้ IVF ที่ราว 15% และเป็นลูกค้าจีนราว 90%) รองลงมา BDMS สัดส่วนราว 5% ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากทัวร์จีนที่หายไป
สำหรับการลงทุนเลือก “ซื้อ” ให้น้ำหนักบริษัท บางกอก เชน ฮอลปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA จากประเด็นการเพิ่มขึ้นค่าหัวประกันสังคมและการกลับมาเติบโตของผลประกอบการในปี 2563 มากกว่า
กลุ่มที่น่าสนใจ ธุรกิจอุปกรณ์และหน้ากากอนามัย พบว่ามี บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม มีสินค้าสำคัญ หน้ากาก N 95 ซึ่งในช่วงปี 2562 ปัญหา PM 2.5 ทำให้ยอดขายสินค้าประเภทหน้ากากอนามัยเพิ่มสูงจนไม่เพียงพอทำการขาย
นอกจากนี้มีบริษัท เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ จำกัด (มหาชน) หรือ TPCORP ของเครือสหพัฒน์ฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผ่าไม่ทอ (no woven) เข่น หน้ากากอนามัย ภายใต้แบร์นด we 1 care
และสุดท้าย กลุ่มประกัน ซึ่งถือว่าได้รับอนิสงค์จากสถานการณ์ดังล่าวไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มหนีไม่พ้น บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันชีวิตดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์ประกัน ให้กับทุกบริษัทประกัน
ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก ในการให้บริการนายหน้าประกันภัย โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย และ บริษัท ทีคิวเอ็ม ไลฟ์ อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ที่ได้ผู้ถือหุ้น
ล่าสุดได้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ของกลุ่ม ‘สิริวัฒนภักดี’ เข้ามาถือหุ้น 1.83 % ส่งผลทำให้เกิดความคาดหวังการเติบโตหลังจาก 9 เดือนปี 2562 บริษัทมีรายได้ 74 % เป้าหมายทั้งปีที่ 12,700 ล้านบาท
3 กลุ่มธุรกิจเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยลบดังกล่าว ซึ่งหุ้นได้มีการสะท้อนไปบ้างแล้วในบางธุรกิจ แต่ในระยะยาวยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อหุ้นดังกล่าว การลงทุนต้องอาศัยช่วงเวลาและสถานการณ์เพื่อหาโอกาสลงทุนควบคู่กันไป