'นายกฯ' จี้เอกชนเร่งลงทุน ชี้เศรษฐกิจปี 63 โตได้ 4-5%

'นายกฯ' จี้เอกชนเร่งลงทุน ชี้เศรษฐกิจปี 63 โตได้ 4-5%

“ประยุุทธ์” แนะเอกชนใช้ช่วงค่าบาทแข็งเร่งลงทุนภายในประเทศ ยังหวัง จีดีพี ไทยโต 4-5% ด้าน ส.อ.ท. ห่วงเบิกจ่ายงบปี 63 ล่าช้ากระทบเศรษฐกิจรุนแรง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการปาฐกถาเปิดสำนักงานใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ในฐานะที่ ส.อ.ท. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานหลักให้กับรัฐบาลในการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายให้ประเทศและประชาชนอยู่ดี มีสุข เนื่องจากในบริบทของโลกไร้พรหมแดน ทำให้มีการแข่งขันมากขึ้น จึงเกิดทั้งโอกาสและวิกฤต ดังนั้นจึงต้องหาวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมในการฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการลงทุนขึ้นมา เพื่อรับฟังข้อเสนอของเอกชน ร่วมทั้งหามาตรการที่จะสนับสนุนภาคเอกชนในการลงทุนขับเคลื่อนประเทศ

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกปัจจุบันจะชะลอตัวลงช้าๆ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวจากการกีดกันทางการค้าที่เริ่มมีดีขึ้น ซึ่งในปี 2563 คาดว่า การขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โลกจะขยายตัว 2.8-3.3% ส่วน ก็อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกัน เชื่อว่า แนวโน้มจะดีกว่าปี 2562 และอยากให้ภาคเอกชนเวลาจะคิดออกมาตรการอะไรอยากให้ดูว่าประชาชนจะได้อะไรจากการประกอบการของภาคเอกชน ทุกคนจะต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน

158013073821

โดยในขณะนี้อยากให้ผู้ประกอบการการในภาคอุตสาหกรรมทั้งส.อ.ท. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย อาศัยจังหวะค่าบาทแข็งให้เร่งรัดการลงทุน มีการนำเข้าเครื่องจักรมาปรับปรุงการผลิตจะได้ยกระดับศักยภาพการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ทั้งรายได้น้อย ปานกลาง และรายได้สูง และขอให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นหัวหอก เป็นผู้นำในการลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ยังติดขัดอยู่ เพราะงบประมาณภาครัฐมีจำกัดจะทำอะไรงบประมาณก็ไม่เพียงพอ อยากให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยกันลงทุนมากขึ้น

"ใน 5 ปีที่ผ่านมาหลายๆอย่างยังไม่สำเร็จ อยากบอกว่า ทุกอย่างมีความยากง่ายแตกต่างกัน ตอนนี้ต้องถามตัวเองว่า ใจสู้หรือเปล่า เราต้องสู้ไปด้วยกัน ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้จะดีขึ้นกว่าปี 2562 ตามการปรับตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดก็จะก้างผ่านทุกอุปสรรคปัญหาไปได้"

158013077668

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ภาคเอกชนยังกังวลในเรื่องปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่อาจจะต้องล่าช้าออกไป โดยมีความเห็นว่ารัฐจะต้องพยายามผลักดันงบประมาณให้ออกมาเร็วที่สุดภายในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งอาจจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โดยงบประมาณที่หายไปมีมูลค่าการ 3 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้เป็นงบจัดซื้อจัดจ้างหลายแสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้หากเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็จะมีมูลค่านับล้านล้านบาท จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มาก

 ในส่วนของภาครัฐควรจะเตรียมออกมาตรการขยายระยะเวลาชำระเงินกู้ออกไป 3-6 เดือน เพื่อช่วยยืดเวลาหายใจให้กับภาคธุรกิจ ลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง ซึ่งหากเห็นว่าเกิดวิกฤตจะได้นำมาตรการเหล่านี้มาใช้ได้ทันที

“ในภาวะที่การเบิกจ่ายงบประมาณอาจจะมีปัญหา ภาคเอกชนแต่ละรายจะต้องปรับตัวโดยการชะลอการใช้จ่าย และเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้า เพื่อทำตลาดได้มากขึ้น จะต้องช่วยเหลือตัวเองทุกทางให้ได้มากที่สุด”

       นอกจากนี้ ยังได้เสนอท่านนายกรัฐมนตรีในเรื่องการแก้ไขกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอีเข้าถึงมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการมีหลากหลายทั้งรายใหญ่ และเล็ก ดังนั้นระบบจัดซื้อจัดจ้างควรต่างกัน

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังได้ผลักดันในเรื่องกองทุนนวัตกรรม ซึ่งจะเข้าไปคุยในรายละเอียดกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในเร็วๆนี้ เพื่อหารือในรายละเอียดการตั้งกองทุนฯ โดยกองทุนฯนี้ ภาคเอกชนจะเป็นผู้ลงขันวงเงินทั้งหมดในเบื้องต้นประมาณ 1 พันล้านบาท และเป็นผู้บริหารกองทุน ส่วนภาครัฐควรสนับสนุนการลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า เพื่อจูงใจให้บริษัทต่างๆเข้ามาลงเงินให้กับกองทุนนี้มากขึ้น

158013082859