"ถ้าพรุ่งนี้ไม่มี Facebook..."
ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ค ให้เหล่าธุรกิจเล็ก-ใหญ่ ได้ลงโฆษณาอีกต่อไป ธุรกิจจะต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง?
ถ้าพรุ่งนี้ไม่มี Facebook เราจะทำอย่างไร? หลายคนคงคิดในใจว่าเป็นไปไม่ได้หรอก… ยังไง Facebook ก็ต้องอยู่คู่กับพวกเราตลอดไป
ใช่ครับ Facebook จะอยู่ตลอดไป แต่สิ่งที่ผมกำลังตั้งคำถามคือ ถ้าพรุ่งนี้ทุกท่านลงโฆษณา Facebook ไม่ได้ หรือถ้าการลงโฆษณาบน Facebook มันไม่ได้ถูกแบบเมื่อสมัยก่อน... ท่านจะอยู่อย่างไร?หลายอย่างเปลี่ยนไปหลังจากมี Social Media เข้ามา จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการตื่นขึ้นมาแล้วเข้า Facebook เป็นอย่างแรก การเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามข้อมูลผ่านแชทและอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เราคงจำได้ว่าเราตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้จับมือถือเป็นอย่างแรก เราใช้ชีวิตโดนที่ไม่ได้มีมือถือเป็นสื่อสำคัญ แม้ว่าสมัยนั้น Digital Marketing เริ่มเจริญเติบโต แต่เราก็ให้มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่หลังจากการเติบโตของ Social Media ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้เริ่มมีส่วนสำคัญกับชีวิตเรา จนเป็นสังคมก้มหน้าเราเริ่มหยุดใช้เวลากับสิ่งรอบข้างและให้ความสำคัญกับมือถือของเรามากกว่า ร้านค้าหลายร้านเริ่มยอดขายลดลง เพราะว่าคนเปลี่ยนที่ซื้อไปซื้อบนออนไลน์กันมากขึ้น
และนี่เป็นสิ่งที่หลายท่านได้รับเมื่อ Facebook เข้ามาในช่วงเริ่มต้น
1.ได้ลูกค้าหน้าใหม่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ต้นทุนในการเข้าหาลูกค้าราคาถูก (ถูกและเร็วมากเมื่อเทียบกับ Platform อื่น)
2.ขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว โดยการสร้างความต้องการผ่าน Facebook เพราะ Facebook เป็น Platform ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเลือกข้อมูลประชากรศาสตร์ หรือข้อมูลด้านพฤติกรรมอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถเก็บ Data อื่นๆจากผู้ใช้งานได้อีกมากมาย
จากเหตุการณ์ข้างต้น ผมเชื่อว่าทำให้เกิดเศรษฐีใหม่เป็นจำนวนมากและหลายท่านได้เสพย์ติดผลลัพธ์ความสำเร็จจาก Facebook จนยึดติดกับบ้านเช่าหลังนี้ จนลืมที่จะสร้างบ้านให้กับตัวเอง ปัจจุบันหลายท่านคงเริ่มทราบกันว่าท่านคงไม่อาจสามารถทำกำไรได้เท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว(ด้วยวิธีการเดิม) เพราะเจ้าของบ้านกำลังขึ้นค่าเช่า จนผู้เช่าหลายท่านมิอาจสามารถจ่ายค่าเช่าได้เร็วๆนี้
และนี่คือสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายท่านกำลังเจอ
1.ค่าโฆษณาเริ่มสูงขึ้น (10X)
2.อัตราการแข่งขันที่สูงขึ้น(10X)
3.พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเริ่มซื้อสินค้าจาก market Place กันมากขึ้น (10X)
บางท่านคิดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ขายไม่ได้ อย่าลืมนะครับ ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เราก็สามารถสร้างรายได้ได้ ถ้าเรารู้จักปรับตัวให้เร็ว และปัญหาหลักที่ท่านกำลังเจอคือการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้นเร็วมาก
สมัยก่อนท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องปลาใหญ่กินปลาเร็ว จนยุคสมัคเปลี่ยนไปจะเริ่มกลายเป็นปลาเร็วชนะทุกอย่าง และในปัจจุบันอาจจะเรียกได้ว่าปลาสายพันธ์ใหม่ที่จะอยู่ในน่านน้ำนี้ได้ ต้องทั้งเร็ว, ใหญ่ และแข็งแกร่ง
- หนีเสือปะจรเข้
พอช่วงต้นปี 2017 พอราคา Facebook แพงขึ้น หลายท่านที่อเมริกาก็เริ่มหันไปค้าขายบน Market Place อย่างเช่น Amazon ที่มีสัดส่วนแบ่งถึง 49% ซึ่งก่อนที่ Amazon จะเริ่มปรับกฎหลายอย่าง ผู้ค้าหลายท่านก็มีความสุขกันดี หลายท่านเคยมียอดขายมากกว่า 1 ล้านเหรียญ ด้วยกำไรที่สูง ก่อนที่อเมซอนจะเริ่มปรับกฎ และมีผู้เล่นหน้าใหม่จากประเทศจีนเข้าไปท้าชิงเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่เกิดขึ้นใน Market Place คือสงครามราคา หลายท่านที่จำหน่ายจะต้องเจอการตัดราคาแบบบ้าคลั่ง ทำให้ไม่สามารถได้กำไรเหมือนสมัยก่อน เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นที่ประเทศไทย หลายท่านจะเริ่มเจอการเข้ามาของประเทศจีนผ่าน Market Place ซึ่งเป็นสงครามที่พวกเค้าถนัด และผู้เล่นในไทยหลายคนต้องเตรียมรับมือ
- เราควรเตรียมการรับมืออย่างไรดี?
1.เริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง หยุดทำเพียงแค่ซื้อมาขายไป ท่านต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจจากต่างชาติ และถ้าท่านไม่มีความแตกต่างท่านจะไม่สามารถยืนยู่บนสนามนี้ได้ ถ้าท่านเป็นตัวแทนประกันหรือทำ MLM ท่านก็สามารถสร้าง Personal Branding ได้ และถ้าท่านมี Personal Branding ที่ดี ท่านจะสามารถจำหน่ายสินค้าอื่นๆอีกได้
2.เริ่มวางแผนสร้างบ้านให้กับตัวเอง หยุดพึ่งบ้านเช่าเพียงอย่างเดียว Facebook หรือ Line เป็นบ้านเช่าที่ดี แต่ท่านควรเตรียมวางแผนการสร้างบ้านให้แข็งแรงในวันที่มีโอกาส ก่อนที่ผู้ให้เช่าจะขึ้นราคาเช่าแพงขึ้น เพราะมีผู้เช่าหน้าใหม่มากมายสนใจ
3.เรียนรู้ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Facebook เช่น การทำ SEO การทำ Google AdWords หรือการทำ Borrowed Traffic เช่น การใช้ Influencer, การทำ Affiliate Campaign เป็นต้น (วิธีนี้จะใช้การได้ดตลอดไป ต่อให้ค่าโฆษณาราคาแพง)
4.เริ่มเก็บรายชื่อและสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าพอมี Facebook เกิดขึ้น และช่วงที่ค่าโฆษณาราคาถูก หลายคนเริ่ม จนไม่ได้สนใจการเก็บรายชื่อผู้มุ่งหวังต่างๆ หลายธุรกิจเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ทั้งธุรกิจประกัน อสังหาริมทรัพย์ และอีกหลายๆธุรกิจ จนหลงละลืมการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าหรือรายชื่อกลุ่มลูกค้าผู้มุ่งหวังทร่ได้มา
5.เพิ่มยอดขายจากลูกค้าเก่าให้มากขึ้น (Life Time Value) ปัจจุบันหลายประเทศ ไม่สามารถได้กำไร จากการขายสินค้าครั้งแรกให้กับกลุ่มลูกค้า จึงมีการพัฒนาระบบ CRM และการทำ Lead Scoring, Lead Segmentation และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อที่จะสามารถเพิ่มยอดขายกับกลุ่มลูกค้าเก่าได้
สุดท้ายที่อยากฝากกับทุกท่านคือ... จงเตรียมตัวระหว่างที่ยังมีเวลา และอย่าลืมนะครับ ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เราก็สามารถสร้างรายได้ได้ ถ้าเรารู้จักปรับตัวให้เร็ว #สวัสดี NewYork