ครม. เห็นชอบให้ยุติการระเบิดแก่งแม่น้ำโขง
จีนแจ้งยุติการดำเนินการให้ประเทศลุ่มน้ำโขงแล้ว
กระทรวงคมนาคมวานนี้ เสนอคณะรัฐมนตรี ขอความเห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการ "ปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง – แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง – แม่น้ำโขง พ.ศ. 2543" หรือ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า โครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงโดยประเทศจีนเป็นผู้ริเร่ิม
ทั้งนี้ โครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงนี้ เป็นโครงการของรัฐบาลจีนที่ต้องการระเบิดเกาะแก่งต่างๆในแม่น้ำโขง เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เป็นเส้นทางคมนาคม เพื่อให้เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ สามารถล่องจากตอนใต้ของจีนไปยังนครหลวงพระบางในลาวได้
อย่างไรก็ตามดังกล่าว ได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากภาคประชาชนไทยโดยเฉพาะในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการทำลายระบบนิเวศและส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง จึงได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆรวมถึงรัฐบาล ทำให้รัฐบาลไทยยอมทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ที่อนุญาตให้จีนสามารถดำเนินโครงการได้ ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงและกรมเจ้าเท่าต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเรื่องเส้นเขตแดน
สำนักข่าวชายขอบได้รายงานว่า ผลการดำเนินการการดำเนินงานเบื้องต้น (PW) กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ดังนี้
1.การดำเนินการต้องไม่ส่งผลกระทบทางกายภาพต่อแม่น้ำในส่วนที่เป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ มีความเห็นว่า เส้นเขตแดนในแม่น้ำโขงระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ.1926 ที่ระบุว่า ให้เส้นเขตแดนในแม่น้ำโขงเป็นไปตามร่องน้ำลึก
อย่างไรก็ดี เขตแดนทางน้ำระหว่างไทยกับ สปป.ลาว อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาเพื่อสำรวจและปักหลักเขตแดนร่วมกัน ซึ่งตามบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-ลาว ครั้งที่ 9 ข้อ 7.6.5 ได้กำหนดวิธีการจัดการพื้นที่ชายแดนตามลำแม่น้ำโขงระหว่างรอการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยเน้นย้ำหลักการตามบันทึกการประชุม JBC ครั้งที่ 1 ข้อ 7 ซึ่งระบุว่า “ในการดำเนินการสำรวจเขตแดนทางบกและในแม่น้ำ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่า มิให้เจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานของรัฐฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำการถากถางและก่อสร้างใด ๆ ในบริเวณชายแดนที่จะกระทบต่อธรรมชาติของเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ยกเว้นกรณีที่เจ้าหน้าที่สำรวจเขตแดนทั้งสองฝ่ายเห็นความจำเป็นเพื่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน”
และบันทึกการประชุม JBCครั้งที่ 5 ข้อ 5 ซึ่งระบุว่า “…โดยในระหว่างการรอการมีผลบังคับใช้ของเส้นเขตแดนนั้น…ห้ามมิให้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมในบริเวณ 100 เมตร ในแต่ละด้านของสันปันน้ำที่เป็นแนวเส้นเขตแดน”
โดยที่การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขงยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น เมื่อพิจารณาโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงในภาพรวม ย่อมส่งผลกระทบไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมต่อสภาพลำน้ำทางกายภาพและร่องน้ำลึกธรรมชาติของแม่น้ำโขง และจะส่งผลต่อท่าทีทางกฎหมายของประเทศไทยในการเจรจาด้านเขตแดนกับ สปป.ลาวด้วย
2.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) เร่งสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงให้แก่ประชาชนในพื้นที่ก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นต่อรายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESIA) ดังนี้
1)การจัดทำรายงานดังกล่าว ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อป้องกันข้อคัดค้านที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการในอนาคต
2)ข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ
3)ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ควรกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบและมาตรการตรวจสอบผลกระทบที่เกิดจากโครงการให้ครอบคลุมทุกด้าน
4)ผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ควรมีการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ในพื้นที่โครงการ