'ทุกฝ่าย' ต้องเคารพกติกา
การวินิจฉัยคดีทั้งหมด ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตุลาการ ไม่ควรมีการเคลื่อนไหวไม่ว่าบนดินหรือใต้ดิน การหวังผลกดดันทั้งก่อนและหลังผลตัดสิน จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งผู้ที่ได้หรือเสียผลประโยชน์ ขอให้หยุดพฤติกรรมการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
วันที่ 21 ก.พ.2563 เวลา 15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงผลการลงมติคำร้องคดียุบพรรค กรณีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่จำนวน 191 ล้านบาท หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องเมื่อ 25 ธ.ค.2562 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
การอ่านคำวินิจฉัยกลางครั้งนี้ เป็นที่จับตามองทุกวงการทั้งเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยเฉพาะแวดวงการเมือง ผลการลงมตินอกจากเป็นบรรทัดฐานของรัฐธรรมนูญใหม่ว่าด้วยการกู้เงิน ยังส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ ตามความหนักเบาของผลที่น่าจะออกมา 3 ทาง คือ 1.ยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 2.ไม่ยุบพรรค แต่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเฉพาะกรรมการบริหารพรรค และ 3.วินิจฉัยไม่ยุบพรรคและไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
หากคำวินิจฉัยออกทางที่ 1 ศาลอาจเห็นว่าพรรคการเมืองไม่สามารถกู้เงินได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจแก่พรรคการเมืองเอาไว้ ส่วนทางที่ 2 ศาลอาจเห็นว่ากู้เงินเป็นความผิดเฉพาะตัวของกรรมการบริหารพรรค ไม่ต้องถึงขั้นยุบพรรค ทั้ง 2 กรณีนี้ ในทางการเมืองมีความหนักเบาแตกต่างกันหากยุบพรรคจะตามมาด้วยการตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคทั้ง 15 คน ส.ส.พรรคอนาคตใหม่จาก 76 คน จะเหลือเพียง 66 คน เพราะใน 15 คน มี ส.ส.เป็นกรรมการบริหารพรรค 10 คน ทั้ง 66 คน มีสิทธิเข้าสภา ใช้สิทธิอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ และต้องหาสังกัดใหม่ใน 60 วัน คณิตศาสตร์ทางการเมืองจะเปลี่ยนครั้งใหญ่
กรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงส่วนใหญ่ ลงมติว่าผิดแต่ไม่ถึงขั้นยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคจะโดนตัดสิทธิ จำนวน ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ก็ยังเท่าเดิม เนื่องจาก ส.ส.ที่หายไป 10 คน ให้เลื่อนลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อขึ้นมา แต่แกนนำของพรรคจะหมดสิทธิเข้าสภา หมดสิทธิอภิปราย เราเห็นว่า ไม่ว่าผลการลงมติจะออกแนวทางใด เป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องเคารพกติกาของบ้านเมือง เราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน วินิจฉัยอย่างอิสระ ยึดทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เป็นส่วนผสมตามความเหมาะสม เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ที่สำคัญคือผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม
เราเห็นว่าการวินิจฉัยคดีทั้งหมด ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตุลาการ ไม่ควรมีการเคลื่อนไหวไม่ว่าบนดินหรือใต้ดิน การหวังผลกดดันทั้งก่อนและหลังผลตัดสิน จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งผู้ที่ได้หรือเสียผลประโยชน์ ขอให้หยุดพฤติกรรมการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ประเทศเราถูกคนไทยกันเองตั้งคำถามถึงพวกวิญญูชนจอมปลอม นานาประเทศตั้งข้อสงสัยในความโปร่งใสของผู้มีอิทธิพลและนายทุนครอบงำพรรค ทุกครั้งที่มีการแย่งชิงอำนาจ กระบวนการยุติธรรมมักกลายเป็นเหยื่อแสนโอชะของพวกเสพติดอำนาจ ถึงเวลาหรือยังกับการคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อประเทศของพวกเรา