วิกฤติรอบใหญ่ถึง (เวลา) กองทุน ‘พยุงหุ้น’
นาทีนี้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นไทยมีแต่ทรงและก็ทรุดๆ จากปัจจัยเดิมที่ยังไม่คลี่คลายและยังมีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบได้รายวัน จนวานนี้ (10 มี.ค.) หุ้นไทยลดลงไปแล้ว 330 จุด หรือ 20.92 % เพียงแค่ระยะเวลา 2 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์
หากแต่การปรับตัวลงที่ต่อเนื่อง รุนแรง และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบเมื่อไหร นับว่าเป็นสัญญาณการเข้าสู่วิกฤติของตลาดหุ้นครั้งใหญ่อีกรอบ หากแต่รอบนี้กลับมีความหนักหน่วงมากกว่าที่ผ่านมาเพราะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงเปราะบางและยังไม่มีประเทศไหนที่จะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
จากการปรับตัวลดลงของหุ้นอย่างหนักปีนี้ ล้วนแต่เกิดจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่คาดคิดมาก่อนทั้งการระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เป็นไฟลามทุ่งจากจีนไปยังทั่วโลกในระยะเวลาอันรวดเร็วและยังไม่มีวัคซีนมารักษา
โดยผลกระทบแค่ปัจจัยข้างต้นเห็นการหยุดกิจกรรมทางการเศรษฐกิจแบบกระทันหันที่สำคัญเกิดขึ้นทั่วโลก จนต้องใช้ธนาคารกลางหลายประเทศพร้อมใจกันออกมาพยุงเศรษฐกิจที่จะซบเซาชัดเจนในครึ่งปีแรก 2563
ตามมาด้วยปัจจัยปมความขัดแย้งในกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ที่ปะทะกันระหว่างซาอุดิอาราเบีย ที่ต้องการให้ รัสเซียลดกำลังการผลิตลง 1-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เมื่อได้รับการปฎิเสธ จึงดำเนินการด้วยสงครามราคา
ซาอุฯ ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตจากที่ผลิตอยู่แล้ว 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นที่คาดการณ์ว่าตัวเลขกำลังผลิตจะมาอยู่ที่ 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยังประกาศลดราคาน้ำมันเกรดดีลงหมดทำให้ราคาขายไปยุโรปลดลง 8 ดอลลาร์ สหรัฐลดลง 7 ดอลลาร์ และเอเซีย 6 ดอลลาร์ ทั้งหมดจะมีผลภายในเดือนมี.ค. นี้
จากผลดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันใน 3 ตลาด เบรนท์ ( BRENT) เวสต์เท็กซัส (WTI) และดูไบ (Dubai) ร่วงทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างวันราคาน้ำมันลดลงมากถึง 30 % ส่งผลต่อหุ้นไทยเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะมีกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีสัดส่วนมากถึง 15 % ของมาร์เก็ตแคป
ปัจจุบันการลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกและไทยยังไม่มีใครประเมินได้ว่าจะฟื้นหรือดีดกลับเมื่อไร หากแต่ที่ผ่านมาทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปในช่วง 14 ปี มีเข้ามากระทบการลงทุนไม่เคยหยุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากภายนอกประเทศแต่กลับกลายเป็นความผันผวนให้กับตลาดหุ้น
ยิ่งตลาดหุ้นไทยมีความเปราะบางด้านโครงสร้างจำนวนนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ส่วนสถาบันหรือกองทุนที่เข้ามาเพิ่มก็มีการลงทุนเข้าเร็วออกเร็วไม่แพ้กันจากการใข้บล็อกเทรด และโรบ็อตเทรดทำให้หุ้นร่วงจะร่วงหนัก ตรงกันข้ามหากขาจะขึ้นไปเร็วจนทำกำไรตามไม่ทัน
สถานการณ์วิกฤติในทุกช่วงที่ผ่านมา มักจะมีการพูดถึงอัศวินม้าขาว ที่เข้ามาช่วยพยุงหุ้นเช่น การจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund ) กองทุนไทยสร้างโอกาส กองทุนฉุกเฉิน และอีกหลายชื่อ แต่มีวัตถุประสงค์เดียวคือเติมสภาพคล่องเข้าไปในตลาดทุน เพื่อลงทุนในธุรกิจที่พื้นฐานดี ในราคาที่ถูกแล้วยังเป็นการช่วยด้านจิตวิทยาการลงทุน หากมีเหตุการณ์ที่กระทบหุ้นไทยรุนแรง
แทบไม่น่าเชื่อว่าในทุกช่วงที่มีวิกฤตที่ผ่านมามีการหยิบยกถึงกองทุนดังกล่าวแทบทุกครั้ง ตั้งแต่ดัชนีระดับ 1,000 จุด แต่ไม่มีการจัดตั้งเลยสักครั้ง เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามภาวะตลาดโลกและขาดข่าวบวกเข้ามาทำให้ยังไม่มีความจำเป็น
ขณะเดียวกันหากเกิดวิกฤตจริงสามารถจัดตั้งกองทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น และรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที รวมทั้งยังมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เพราะเป็นการนำภาษีของประชาชนมาช่วยคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันการขาดกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เท่ากับขาดเครื่องมือเติมสภาพคล่องที่สำคัญ และต้องไม่ลืมว่าตลาดหลักทรัพย์มีเงินกองทุนที่ภาคธุรกิจเกี่ยวข้องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินภาษีประชาชน ใส่เงินตั้งแต่ก่อตั้งมูลค่าหมื่นล้านบาท
จนกระทรวงการคลังมีการนำเงินดังกล่าวไปตั้งเป็นกองทุน CMDF เงินตั้งต้น 5,700 ล้านบาทและนำส่ง 90 %ของกำไรจากตลาดหลักทรัพย์เข้าทุกปี การจะนำเงินในส่วนนี้มาช่วยภาวะตลาดหุ้นไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นดีกว่าปล่อยผ่านเหมือนที่ผ่านมาและมองดูดัชนีหุ้นไทยถอยหลังลงไปที่ 1,200 จุด หรือย้อนหลัง 8 ปี แบบเสียเวลาเปล่าอีก