จากโมเดล“แอ๊ด” ถึง “วู้ดดี้” เกมบุกเครื่องดื่มชูกำลังสู่ "วิตามินซี" ของ “คาราบาวกรุ๊ป”
"คาราบาวแดง" แจ้งเกิดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังด้วยพลังแบรนด์บุคคล "แอ๊ด คาราบาว" ที่ไม่เพียงเป็น "ผู้ถือหุ้น" ในคาราบาว กรุ๊ป แต่ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ อีกครั้งกับการปั้นสินค้าใหม่ "วู้ดดี้ซี" พึ่งพลังการตลาด "วู้ดดี้" ชิงชัยเครื่องดื่มวิตามินซี
เมื่อ “มันสมอง” ของผู้บริหาร พร้อมสรรพกำลัง “เงินทุน” และอาวุธการตลาดครบมือทำให้ “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” ควงเพื่อนพ้องน้องพี่ เช่น ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ มาลุยธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง หนึ่งในนั้นมีชื่อของ “แอ๊ด คาราบาว” ถือหุ้น 15% ความแข็งแกร่งและมูลค่าแบรนด์ “คาราบาว” เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้เครื่องดื่มชูกำลังหน้าใหม่ก้าวขึ้นเป็น “เบอร์ 2” มีส่วนแบ่งทางการตลาด 24-25% จากตลาดรวม 34,000-35,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ แบรนด์ “คาราบาว” แกร่งแต่การจะแลกไลน์ไปยังสินค้าใหม่ ยังมีกำแพงอยู่ จึงเป็นอีกครั้งที่ “เจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลัง” เลือกโมเดลเดิมในการลุยปั้นสินค้าใหม่เพื่อทำตลาด โดย เสถียร ในฐานะแม่ทัพหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลงขันกับเพื่อนๆกลุ่มเดิม ตั้งบริษัท เอ วู้ดดี้ ดริงค์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยเจ้าตัวและเพื่อนถือหุ้น 85% และ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” พิธีกรชื่อดังถือหุ้น 15% ออกสินค้าใหม่ภายใต้ชื่อ “วู้ดดี้ ซี”
แม้ "บิดา" ของ “วู้ดดี้” จะรู้จักกับ “เสถียร” แต่การเจรจาธุรกิจเกิดจาก “วู้ดดี้” มองเห็นศักยภาพของคาราบาว กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของเมืองไทย และขยับเป็นผู้เล่นระดับโลก เวลา 1 ชั่วโมงของการหารือนำไปสู่การ “ร่วมมือ” ทางธุรกิจ เสถียร จับมือวู้ดดี้ เพราะมองคาแร็กเตอร์ และพลังของแบรนด์ “วู้ดดี้” ต่อยอดทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายได้
เสถียร เศรษฐสิทธิ์ - วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา
“คุยกับวู้ดดี้ว่าต้องการทำเครื่องดื่ม ซึ่งสิ่งสำคัญเวลาทำธุรกิจต้องมาถูกที่ถูกเวลา จังหวะและโอกาส ผมมองวู้ดดี้มานาน เขาไม่ใช่แค่ศิลปิน พิธีกร แต่มีแบรนด์คาแร็กเตอร์ชัดเจน ในไทยคนที่มีพลังทางการตลาดเหมือนวู้ดดี้มีไม่มาก โมเดลนี้เหมือนตอนที่ทำเครื่องดื่มชูกำลังกับพี่แอ๊ดเลย”
เมื่อสินค้าดีบวกกับพลังการตลาดของ “วู้ดดี้” แผนการตลาด การประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการกระจายสินค้า จึงเชื่อว่าจะปูทางสู่ความสำเร็จได้ เพราะหลังจาก “วู้ดดี้” เผยแพร่การลุยสินค้าใหม่ กระแสตอบรับจากคู่ค้า ช่องทางจำหน่ายต่างๆสั่งสินค้าและเร่งให้วางตลาด จึงเลื่อนการขายเม.ย. เป็น มี.ค.
นอกจากนี้ การผลิตที่เดิมวางไว้ 10 ล้านขวด ได้เพิ่มเป็น 20 ล้านขวด ล่าสุดเพิ่มอีก 80 ล้านขวด รวมกำลังผลิตวู้ดดี้ ซีอยู่ที่ 100 ล้านบาท และเตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมการตลาดทั้งออนไลน์ ออฟไลน์
สำหรับตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี มีมูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท เติบโต 40-50% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ “วู้ดดี้ ซี” จะเป็นหน้าใหม่ลำดับที่ 5 เข้าทำตลาด แต่เป้าหมายต้องการ “โค่น!!” “ซี-วิต” เบอร์ 1 จากค่าย “โอสถสภา” ที่มีส่วนแบ่งกว่า 50%
เครื่องดื่มวิตามินซีจากหลากแบรนด์ ชิงเค้กตลาดมูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท
“โจทย์เราปีนี้จะเอาชนะคู่แข่ง ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ หากเราคิดว่าจะชนะในตลาดนี้ จะทุ่มงบการตลาดเพิ่มไปอีก”
ด้าน วุฒิธร กล่าวว่า นอกจากสร้าง “วู้ดดี้ เวิลด์”ผลิตรายการโทรทัศน์จนโด่งดัง มีผู้ติดตามผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆรวม 14 ล้านราย อีกหนึ่งเป้าหมายคือการเป็น “เจ้าของสินค้า” จึงได้เข้ามาหารือกับ “เสถียร” เพื่อผลิตเครื่องดื่ม หากประสบความสำเร็จจะทำให้พอร์ตรายได้ 50% มาจากสินค้าดังกล่าวด้วย
สำหรับการทำตลาด จะใช้ตนเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ Influencer นำสินค้าไปทุกที่เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ผ่านสื่อทุกแพลตฟอร์ม เช่น TikTok
ขณะเดียวกันในยามมีโรคระบาด มองว่าการบริโภคสินค้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจะเป็นโอกาส อีกทั้งวิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย
วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา
เครื่องดื่มวิตามินซี นำร่อง แต่ “เสถียร” จะใช้แบรนด์วู้ดดี้ แจ้งเกิดสินค้าอีก 3-5 ตัว ปีนี้ จะเห็นอีก 1 ตัว เสริมพอร์ตโฟลิโอ รวมถึงจะควง “วู้ดดี้ซี” ขยายตลาดต่างประเทศด้วย
แผนธุรกิจปีนี้ บริษัทยังเตรียมงบลงทุนร่วม 2,000 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มทุกประเภทอีก 50% หรือ 1,000 ล้านขวด จากปัจจุบัน 2,000 ล้านขวด โดยหนึ่งในนั้นจะมีเครื่องดื่มวู้ดดี้ซีในขวด PET ด้วย
ส่วนการขยายธุรกิจต่างประเทศ ยังสร้างแบรนด์ต่อเนื่องในยุโรป เพื่อไต่สู่แบรนด์ระดับโลก ขณะที่ตลาดจีน 3-4 ปีที่ผ่านมา ยังเป็นช่วงลงทุนสร้างแบรนด์ ทำตลาด ใช้งบร่วม “พันล้าน” แต่ยังเป็นตลาดหิน แม้โอกาสจะมากจากขนาดตลาดเครื่องดื่มชูกำลังราว 20,000 ล้านขวด และผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง 30-35% ซึ่งบริษัทต้องไปสู่เป้าหมายดังกล่าวให้ได้
ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยค่อนข้างชะลอตัวมา 2-3 ปีแล้ว จากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ส่วนปีนี้เจอการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตตลาด
“ยังรอดูผลกระทบตลาดเครื่องดื่มชูกำลังไตรมาส 1 ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ภาพรวมของคาราบาวกรุ๊ปปีนี้ ยังคาดการณ์โตกว่า 25% เพราะตลาดต่างประเทศมีสัดส่วน 70% การเติบโตดี ไตรมาสแรกสูงกว่า 30%”