'จีน' พัฒนาวัคซีนต้าน 'โควิด-19' ทดลองใช้ในคลินิคเร็วนี้

นายหวัง จุนฉี นักวิชาการจากสถาบันวิศวกรรมจีน (ซีเออี) แถลงในวันนี้ว่า ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ของจีนกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และเตรียมทดลองทางคลินิคโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นายหวังกล่าวว่า ความปลอดภัยของวัคซีนถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนดังกล่าว

นายหวังคาดว่าทีมวิจัยส่วนใหญ่จะเสร็จสิ้นการดำเนินการก่อนขั้นการทดลองทางคลินิคในเดือนเม.ย. และบางทีมก็ดำเนินการเร็วกว่านั้น โดยบางทีมได้เริ่มลงทะเบียนรับอาสาสมัคร และยื่นเรื่องขอการอนุมัติทำการทดลองทางคลินิคกับทางสำนักงานผลิตภัณฑ์ยาแห่งชาติ (เอ็นเอ็มพีเอ)

นายหวังตั้งข้อสังเกตว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีน ไม่ได้ช้าไปกว่าในต่างประเทศ โดยจีนดำเนินการอย่างมีมาตรฐาน และตามหลักวิทยาศาสตร์

ด้าน นายเล่ย เฉาซี เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาธิการจีน กล่าวว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังทดสอบวัคซีนกับสัตว์ และคาดว่าจะดำเนินการทดลองทางคลินิคภายในสิ้นเดือน เม.ย.

นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ ยังได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยซิงหัว และมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน รวมทั้งสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เร่งการพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่ช่วงตรุษจีน

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการสุขภาพประจำเทศบาลเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ในเซี่ยงไฮ้กำลังพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 และคาดว่าจะดำเนินการทดลองทางคลินิคภายในกลางเดือน เม.ย.

ส่วนในสหรัฐนั้น นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า การทดสอบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 กับคนเป็นครั้งแรกได้เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้

“การหาวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน โดยการศึกษาในเฟสแรกนี้ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญไปสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว” นายแพทย์ฟอซีกล่าว

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐได้ทำงานร่วมกับบริษัท Moderna ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจไบโอเทค เพื่อพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยการทดลองมีขึ้นในรัฐวอชิงตัน ซึ่งมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม การทดลองในเฟสแรกจะมีขึ้นกับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นชาย และผู้ติดเชื้อที่เป็นหญิงที่อยู่ในวัย 18-55 ปี และไม่ได้ตั้งครรภ์ จำนวนรวม 45 ราย