อินเดียปิด 'ทัชมาฮาล' หลังเอเชียใต้ป่วยพุ่ง

อินเดียดำเนินมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลางดึกวันจันทร์ (16 มี.ค.) ประกาศปิด "ทัชมาฮาล" แหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ปิดอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์อีกหลายสิบแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งถ้ำอชันตาและถ้ำเอลโลราเมืองออรังกาบาด รัฐมหาราษฏระ ศาสนสถาน เช่น วัดสิทธิวินายัก ในเมืองมุมไบ

เมืองมุมไบ ศูนย์กลางการเงินที่มีประชากรหนาแน่นถึง 18 ล้านคน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและสนามบิน ใช้หมึกลบไม่ออก ตีตราข้อมือบุคคลที่ต้องกักตัวเอง ด้วยข้อความ “ถูกกักตัวอยู่บ้าน” พร้อมระบุวันที่เป็นอิสระ 

ทางการมุมไบสั่งให้สำนักงานที่ให้บริการไม่จำเป็น อนุญาตให้พนักงานครึ่งหนึ่งทำงานที่บ้านได้ หลังจากไม่กี่วันก่อนทางการมุมไบสั่งปิดโรงเรียน โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โรงยิม และห้ามประชาชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากไปแล้ว

ทั้งนี้ รัฐมหาราษฏระทางตะวันตกของอินเดีย อันเป็นที่ตั้งของเมืองมุมไบ ถูกไวรัสเล่นงานหนัก มีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว 39 คน หรือราว 1 ใน 4 จากทั้งประเทศ 125 คน

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน อินเดียขยายคำสั่งห้ามเดินทางและวีซ่า ห้ามนักเดินทางที่มาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) สมาคมการค้าเสรียุโรป ตุรกี และสหราชอาณาจักรเข้าประเทศ

ส่วนปากีสถานรายงานยอดผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วในประเทศ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ทะลุ 183 คน ทางการกล่าวว่า จำนวนที่พุ่งขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากความผิดพลาดในการทดสอบและกักตัวนักเดินทางที่เพิ่งกลับมาจากอิหร่าน

ยอดผู้ติดเชื้อในปากีสถานที่พุ่งขึ้นชั่วข้ามคืน ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วในเอเชียใต้ พุ่งถึง 400 คน 

ขณะนี้ทางการอินเดียและเอเชียใต้ชาติอื่นๆ กำลังปวดหัวกับการทำให้นักเดินทางยอมกักตัวเอง หรือกักตัวในโรงพยาบาลที่หลายคนมองว่า ย่ำแย่ ไม่ถูกสุขอนามัย

ในอัฟกานิสถานเกิดเหตุชาวอัฟกันอย่างน้อย 38 คน ที่เพิ่งกลับมาจากอิหร่านและต้องถูกแยกตัวในโรงพยาบาล ทุบหน้าต่างและทำร้ายเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเพื่อหลบหนีออกไป ในจำนวนนี้ยืนยันว่าติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1 คน

ที่เมืองนาวี ชานเมืองมุมไบ สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ประชาชน 11 คนที่ถูกกักตัวหลังกลับจากดูไบหนีออกจากโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน ตำรวจต้องระดมกำลังกันตามล่าตัว

แม้เอเชียใต้จะได้รับความเสียหายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าค่อนข้างน้อย แต่ทางการเกรงว่ามาตรการที่ใช้ในจีนและเกาหลีใต้ อาจยากเกินไปที่จะนำมาใช้กับเอเชียใต้ที่ประชากรหนาแน่น แออัด โรงพยาบาลไม่เพียงพอ