‘กลุ่มปตท.’ กำไรส่อวูบ 9 หมื่นล้าน พิษราคา ‘น้ำมันโลก’ ร่วงต่ำสุดรอบ 18 ปี

‘กลุ่มปตท.’ กำไรส่อวูบ 9 หมื่นล้าน พิษราคา ‘น้ำมันโลก’ ร่วงต่ำสุดรอบ 18 ปี

โบรกเกอร์ ประเมินกำไร “กลุ่มปตท.” ส่อวูบ 9 หมื่นล้าน เหตุราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่งหนัก ทำสถิติต่ำสุดรอบ 18 ปี คาด “ดาวไซด์” เริ่มจำกัด แนะหาจังหวะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มน้ำมัน

วานนี้ (19 มี.ค.2563) พบความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มปตท. ปรับตัวลดลงยกแผง หลังราคาน้ำมันดิบในโลกเมื่อคือวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมาทรุดตัวลงแรงกว่า 24% หลุดต่ำกว่า 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปี ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในตลาด หลังถูกกดดันจากความวิตกที่ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกประสบภาวะถดถอย และการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปเข้าสู่สหรัฐ ซึ่งได้ฉุดความต้องการใช้น้ำมัน

ทั้งนี้ราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวลดลงนำโดย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ลดลง 3.51% อยู่ที่ 55 บาท ,บมจ.ปตท.(PTT) ลดลง 2.83% อยู่ที่ 25.75 บาท,บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) ลดลง 0.41% อยู่ที่ 24.20 บาท,บมจ.ไทยออยล์(TOP) ลดลง 2.65% อยู่ที่ 27.50 บาท ,บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) เพิ่มขึ้น 2.02% อยู่ที่ 2.02 บาท และบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่(GPSC) เพิ่มขึ้น 9.18% อยู่ที่ 53.50 บาท

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของกลุ่มปตท.ให้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะผลการดำเนินงานของกลุ่มปี 2563 ที่คาดว่าจะหายไปจากประมาณการเดิมกว่า 90,000 ล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงรุนแรงในช่วงที่ผ่านมาจากระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงมาสู่บริเวณ 23-24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือหายไปกว่า 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบกับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันที่คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 1 ปี2563

158462363032

ทั้งนี้คาดว่าหุ้นในกลุ่มปตท.ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุดคือ PTTEP โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะหายไปกว่า 20,000 ล้านบาท หรือลดลงราว 50% จากประมาณการเดิมที่คาดจะทำได้ 40,000 ล้านบาท รองลงมาคือ PTT คาดว่ากำไรสุทธิจะหายไปกว่า 30,000 ล้านบาท หรือลดลงราว 30% จากประมาณการเดิมที่คาดจะทำได้ 100,000 ล้านบาท ส่วน PTTGC คาดว่ากำไรสุทธิจะหายไปกว่า 14,000 ล้านบาท จากประมาณการเดิมที่คาดจะทำได้ 15,000 ล้านบาท, TOP คาดว่ากำไรสุทธิจะหายไปกว่า 7,500 ล้านบาท จากประมาณการเดิมที่คาดจะทำได้ 10,000 ล้านบาท และIRPCคาดว่ากำไรสุทธิจะหายไปกว่า 3,500 ล้านบาท จากประมาณการเดิมที่คาดจะทำได้ 4,000 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ GPSC ยังคงประมาณการกำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ช่วงนี้จะมีแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่มองเป็นจังหวะที่ดีในการเริ่มสะสมหุ้นในกลุ่มน้ำมัน เนื่องจากมองว่าดาวไซด์ของราคาน้ำมันตลาด brent ที่กรณีเลวร้ายสุดที่ระดับ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะต้นทุนเฉลี่ยของแหล่งน้ำมันในสหรัฐฯอยู่ในระดับที่สูงที่ 40-45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยของประเทศซาอุและรัสเซียอยู่ที่ระดับ 10 และ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จึงมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับไปที่ระดับปกติใหม่บริเวณ 35-40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันในระดับราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าระดับ 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้ซัพพลายน้ำมันจากสหรัฐฯหายไปในช่วงอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เพราะต้นทุนที่สูงกว่ารายอื่นๆ

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าฝ่ายวิจัยคาดว่าสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ 40 และ 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเชื่อว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มและความต้องการที่ชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ "โควิด-19" ที่น่าจะยืดเยื้อ โดยคำแนะนำกลุ่มปิโตรเลียม “เท่าตลาด” ในภาพระยะยาว พร้อมปรับประมาณการราคาที่เหมาะสมสิ้นปี 2563 ของ PTTEP ใหม่ อยู่ที่ 110 บาทต่อหุ้น และ PTT อยู่ที่ 42 บาทต่อหุ้น