สภาล่างสหรัฐไฟเขียว แผนเยียวยาผลกระทบโควิด-19
นักลงทุนในตลาดหุ้นเฮ! หลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายมาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 วงเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันศุกร์ (27 มี.ค.) ตามคาด
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่วุฒิสภาลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 96-0 เสียง ซึ่งร่างกฎหมายนี้ ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่มีวงเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบจาก 2 สภาอย่างฉลุย พร้อมบังคับใช้ทันที ในขณะที่ยอดผู้ป่วยในสหรัฐทะลุ 1 แสนคนแล้ว
มาตรการเยียวยานี้ครอบคลุมการจัดสรรเงินกู้วงเงิน 3.67 แสนล้านดอลลาร์ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก และสนับสนุนโครงการที่จะจัดสรรเงินให้แก่กระทรวงการคลังในวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับเงินสดโดยตรงคนละ 1,200 ดอลลาร์ ขณะที่เด็กจะได้รับเช็คเงินสดคนละ 500 ดอลลาร์ ส่วนโรงพยาบาลต่างๆจะได้รับการจัดสรรเงินรวม 1.50 แสนล้านดอลลาร์ และธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับเงินช่วยเหลือในวงเงินรวม 3.67 แสนล้านดอลลาร์
สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ชาวอเมริกันจะเริ่มได้รับเช็คเงินสดตามมาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ภายใน 3 สัปดาห์
ด้านไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ บอกว่า คณะทำงานในการรับมือกับโรคโควิด-19 จะให้คำแนะนำแก่ประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับมาตรการขั้นต่อไปในการต่อสู้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว และเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์และทีมงานรับมือโรคโควิด-19 แนะนำให้ประชาชนสหรัฐทั่วประเทศลดการติดต่อทางสังคมเป็นเวลา 15 วัน รวมถึงให้เด็กเรียนหนังสือจากที่บ้าน และไม่ให้ประชาชนรวมกลุ่มกันเกิน 10 คน
เพนซ์ ระบุว่า ใกล้จะครบกำหนด 15 วันแล้ว ดังนั้นทีมงานจึงวางแผนที่จะให้คำแนะนำแก่ปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับมาตรการขั้นต่อไปในการรับมือกับโควิด-19 โดยอาศัยข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ
ขณะที่ ผลการสำรวจความคิดเห็นจัดทำโดยบริษัทแกลลัพ บ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่มขึ้น หลังจากที่เขาออกมาตอบสนองสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบบรายวัน และออกมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดดังกล่าว
ผลสำรวจที่เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (24 มี.ค.) ระบุว่า คะแนนความนิยมของปธน.ทรัมป์อยู่ที่ 49% เทียบเท่ากับระดับที่ดีที่สุดที่เคยจัดทำมา โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 44% ของช่วงต้นเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของทรัมป์เกี่ยวกับการเปิดประเทศรับการค้าการลงทุน มีขึ้นในช่วงที่จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานในสหรัฐทะยานสู่ 3.3 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กิจการหลายพันแห่งพากันปิดตัว และโรงงานหลายแห่งต้องลดการผลิต
การยื่นขอสวัสดิการคนตกงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ของสหรัฐ ทำให้เว็บไซต์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบในรัฐนิวยอร์กและรัฐออริกอนถึงกับล่ม และผู้ที่เดินทางไปหน่วยงานสวัสดิการสังคมด้วยตัวเองต้องรอคิวหลายชั่วโมง
เมื่อปี 2525 จำนวนคนขอรับสวัสดิการคนว่างงานรายสัปดาห์ในสหรัฐ ที่สูงสุดอยู่ที่ 695,000 คน ซึ่งในปีนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อครั้งใหญ่
นักวิเคราะห์ มีความเห็นว่า ตัวเลขคนขอรับสวัสดิการที่มากมายมหาศาลแบบนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด-19 และเศรษฐกิจสหรัฐ อาจอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เข้าข่ายตามคำนิยามที่ว่าเศรษฐกิจต้องหดตัวสองไตรมาสติดต่อกันก็ตาม