เตรียมเฮ! ไทยผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์
โฆษกศบค.ระบุไทยเล็งผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ คาดได้ข้อสรุปสัปดาห์หน้า พร้อมเผยตัวอย่างแนวทางปฎิบัติของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ ย้ำอย่าประมาท การ์ดอย่าตก ยก10 จังหวัดทำดีมีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวต่ำสุด
ไทยผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์สัปดาห์หน้า
วันนี้ (17 เมษายน 2563) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทีมนักวิชาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์สาธารณสุข สังคม เอกชน ความมั่นคงได้มีการประชุมเพื่อเตรียมเสนอ ศูนย์ ศบค. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์
ตัวอย่างผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ อาทิ การเปิดร้านตัดผม ต้องมีมาตรการ คือ ผู้ประกอบการต้องมีสถานที่จัดที่นั่ง ที่นอนสระผมให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร และไม่ให้มีที่นั่งรอในร้าน แต่ใช้บัตรคิวแทน ให้บริการที่ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง เช่น สระผม ตัดผม เท่านั้น งดบริการที่ต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกันที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ อย่าง อุปกรณ์แต่งหน้า
พนักงานทุกคนต้องใส่หน้ากากผ้าทุกคน ล้างมือทุกครั้งที่ให้บริการลูกค้าแต่ละราย ให้พนักงานหยุดงานเอมีอาการไข้หรืออาการทางเดินหายใจ ล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำและผงซักฟอกทุกครั้งที่ให้บริการลูกค้าแต่ละราย เช็ดพื้นผิวสัมผัสทุกชั่วโมงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์บริเวณทางเข้าร้าน ซึ่งผู้ใช้บริการเองก็ต้องใส่หน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในร้านตัดผม และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าร้าน
ส่วนตัวอย่างการเปิดห้างสรรพสินค้านั้น ผู้ประกอบการ ต้องเปิดร้านที่มีบริเวณชัดเจน สามารถจัดบริเวณนั่งรอรับบริการห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เปิดร้านที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น ร้านโทรศัพท์ ธนาคาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่อยๆ ทยอยขยายการเปิดร้านทุกสัปดาห์ เมื่อไม่พบผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับห้าง จำกัดจำนวนคนเข้าไม่เกิน 1 คน ต่อ ตารางเมตร หรือจำกัดระยะเวลาจอดรถ
ด้านบริการ ต้องไม่มีการจัดกิจกรรมที่อาจทำให้คนรวมตัวกัน เช่น โปรโมชั่น นาทีทอง โซนอาหารให้จัดที่นั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร หรือให้เปิดเฉพาะtake away พนักงานและเจ้าของร้าน มีการคัดกรองและอนุญาตเฉพาะผู้สวมหน้ากาเท่านั้นที่สามารถเข้าห้างได้ ต้องมีแอลกอฮอล์เจลให้ทุกคนล้างมือก่อนเข้าห้างสรรพสินค้า มีการทำความสะอาดอุปกรณ์ พื้นผิวสัมผัส ห้องสุขาทุกชั่วโมง ผู้ใช้บริการต้องใส่หน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในห้าง คัดกรองอาการไข้หรืออาการทางเดินหายใจก่อนเข้าห้าง
“ตัวอย่างทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อเสนอ ซึ่งภายในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมและประกาศในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้น จะผ่อนคลายได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนว่าจะปฎิบัติตน และมีพฤติกรรมอย่างไร เพราะคงจะมีพฤติกรรมปกติเหมือนก่อนเกิดโรคโควิด-19 ไม่ได้ ทุกคนต้องมีการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือตลอดเวลา มีการรักษาระยะห่างตลอดเวลา ถ้าทุกคนทำได้ ร่วมมือกันทุกที่ และคิดอยู่เสมอว่าทุกคนที่ออกไปจากข้างนอกมีความเสี่ยง มาตรการผ่อนคลายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”โฆษกศบค. กล่าว
อย่าประมาท การ์ดอย่าตก
นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่าประเด็นหลังการกักตัว 14 วันนั้น โดยส่วนใหญ่คนที่มีการติดเชื้อและหายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันของโรคนี้แล้ว ไม่ต้องตรวจซ้ำ เพราะมีการตรวจเชื้อจนไม่มีถึงจะให้กลับบ้านได้ ดังนั้น อย่าไปกลัวคนที่ติดเชื้อ เพราะพวกเขามีภูมิคุ้มกัน และคนกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันสามารถช่วยคนอื่นได้ โดยที่ตนเองไม่ต้องติดเชื้ออีก ทุกคนเปิดใจให้กว้าง คนที่เคยป่วยโควิด-19 และหายแล้วไม่ได้เป็นผู้แพร่เชื้อ
ส่วนผู้ที่ปกปิดข้อมูล ประวัติมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าป่วยและเป็นกลุ่มเสี่ยงต้องรีบบอก แต่ถ้าจงใจปกปิด เพื่อทำให้เกิดความเสียหาย เรื่องนี้จะถูกดำเนินคดี แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีแพทย์คนไหนอยากกล่าวโทษหรือฟ้องผู้ป่วย แพทย์และผู้ป่วยเป็นฝ่ายเดียวกัน แพทย์ทำหน้าที่รักษาให้ท่านหายและไม่เป็นผู้แพร่เชื่อแก่ผู้อื่น
10 จังหวัดทำดี ไม่มีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่ามาตรการเคอร์ฟิวที่ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ พบว่า มีการฝ่าฝืนคำสั่งออกนอกเคหสถานลดลงจากเดิม โดยมีผู้ถูกดำเนินคดี 642 ราย ตักเตือน 178 ราย และยังคงเป็นเหตุผลเช่นเดิม คือ เดินทางกลับที่พัก ออกมาทำธุระ ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยาเสพติด ขณะที่เหตุของการชุมนุม มั่วสุด ถูกดำเนินคดี 109 ราย มาจากเล่นการพนัก ดื่มสุรา และยาเสพติด นอกจากนั้น เมื่อแบ่งการกระทำผิดแยกตามพื้นที่ (16 เมษายน2563)
พบว่า ภาคเหนือ ออกนอกเคหสถาน 71 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 26 ราย อันดับ1 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคใต้ ออกนอกเคหสถาน 78 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 0 ราย อันดับ1 จ.ภูเก็ต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกนอกเคหสถาน 74 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 28 ราย อันดับ 1 จังหวัดนครราชสีมา และภาคกลาง ออกนอกเคหสถาน 382 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 44 ราย อันดับ1 จ.ชลบุรี ส่วนกทม. ออกนอกเคหสถาน 37 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 11 ราย
สำหรับ 10 อันดับจังหวัดสูงสุดที่มีการฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิว ได้แก่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรปราการ สระบุรี เชียงใหม่ ลพบุรี และสงขลา ส่วน 10 อันดับจังหวัดที่ไม่มีผู้ฝ่าฝืน หรือฝ่าฝืนต่ำ ได้แก่ มหาสารคาม หนองคาย แม่ฮ่องสอน พิจิตร พังงา ระนอง เพชรบุรี ยโสธร อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ