“วีรศักดิ์”เล็งเจาะตลาดบิมสเทคขายสินค้าไทย
“วีรศักดิ์” เปิดเผยผลศึกษาทิศทางการค้ากลุ่มประเทศบิมสเคท ชี้ โอกาสไทยเปิดตลาดการค้า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มั่นใจสร้างมูลค่าทางการค้าไทยเพิ่ม
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ไอทีดี ศึกษากรอบนโยบายและทิศทางทางการค้าในกลุ่มบิมสเทค ซึ่งประกอบด้วยบังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา ไทย สหภาพเมียนมา เนปาลและภูฎาน เพราะหลังจากวิกฤติโควิด-19 กลุ่มประเทศบิมสเตคจะมีแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการจากประเทศไทยมากขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม บิมสเทค ยกเว้นประเทศไทย พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการบริโภคภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนระหว่าง 55-70.8 % ของมูลค่าผลผลิตรวมภายในประเทศ
“ปัจจัยภายนอกจากการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่มากนัก เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจขึ้นกับปัจจัยภายใน เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ยังไม่ได้เปิดสู่ตลาดการค้าของโลกมากนักพิจารณาได้จากมูลค่าการส่งออก 29.9% และและการนำเข้าที่สูงสุดเพียงไม่เกิน 49.55% “นายวีรศักดิ์ กล่าว
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า บิมสเทคคือตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อ มีอัตราการเจริญเติบโตสูง เป็นทั้งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และแหล่งทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งยังมีระยะทางไม่ไกลจากประเทศไทยมีเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย และทุกประเทศสมาชิกต่างก็กำลังตื่นตัวในการส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน หลังจากความไม่สงบเรียบร้อยในหลายประเทศสมาชิกได้คลี่คลายไปแล้ว ประเทศไทยควรตระหนักว่าทรัพยากร เทคโนโลยี และองค์ความรู้ที่ไทยมีอยู่สามารถใช้พัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคให้ก้าวไกลมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการเสริมสร้างอิทธิพลและอำนาจละมุน (Soft power ) เพื่อผลประโยชน์ประเทศและภูมิภาค โดยการดำเนินการที่ไม่ได้ยากเกินไปกว่าความสามารถของไทย ยกตัวอย่างเช่น การให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยว การให้ทุนการศึกษา การลงทุนและการเผยแพร่องค์ความรู้ทางการค้าแก่ประชาชนของประเทศสมาชิกบิมสเทคอื่น ๆ เป็นต้น
นายวีศักดิ์ กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือกับกลุ่มบิมสเทค ปัจจัยความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันเป็นเงื่อนไขสำคัญในการผลักดันให้กรอบความร่วมมือมีความก้าวหน้า เนื่องจากกรอบความร่วมมือบิมสเทคยังต้องพัฒนาอีกมาก การบูรณาการความร่วมมือขั้นต่อไปจำเป็นต้องอาศัยสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคในการเปลี่ยนแปลงหรือเสริมสร้างทัศนคติที่เอื้อต่อความร่วมมือ การผสานผลประโยชน์และการก้าวข้ามความท้าทายที่ประเทศบิมสเทคจะมีร่วมกันต่อไป
“ตลาดบิมสเทคเป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงมาก ดังนั้นหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 สิ้นสุดลง ผู้ประกอบการไทย จึงต้องในความสำคัญกับตลาดบิมสเทคในมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า และบริการของไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด” นายวีรศักดิ์ กล่าว