BBLลุ้นปิดบิ๊กดีล ซื้อ‘เพอร์มาตา’สิ้นมิ.ย.

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า  การซื้อขายหุ้น PT Bank Permata Tbk ("เพอร์มาตา”) ในประเทศอินโดนีเซียนั้น แม้ผู้ขาย คือ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และ PT Astra International Tbk จะเห็นชอบให้แก้ไขสัญญาการซื้อขายหุ้น เพอร์มาตา ในสัดส่วน 89.12% โดยยอมลดราคาขายหุ้นลงมาเหลือ 1.63 เท่าของมูลค่าตามบัญชี(บุ๊กแวลู) จากเดิมที่ 1.77 เท่าของบุ๊กแวลู แต่การแก้ไขสัญญาดังกล่าว อยู่บนเงื่อนไขว่า การทำธุรกรรมกระบวนการซื้อขายทั้งหมดต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้

เดิมคาดว่าการซื้อขายหุ้นดังกล่าว น่าจะแล้วเสร็จได้ไม่เกิน ไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งการแก้ไขสัญญาครั้งนี้ เชื่อว่าอยู่บนพื้นฐานของการคำนึงถึงการซื้อขายในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงเหตุผลต่างๆ จึงนำมาสู่การแก้ไขสัญญาครั้งนี้เพื่อให้การให้ต้นทุนการซื้อขายหุ้นทั้งหมดลดลง

นายทวีลาภ กล่าวว่า สัญญาเดิมกำหนดการเข้าไปซื้อหุ้นแบงก์เพอร์มาตา ซึ่งเป็นแแบงก์ขนาดใหญ่อันดับที่ 12 ของอินโดนีเซีย จากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และ PT Astra international Tbk มูลค่ารวม 8.1 หมื่นล้านบาท หรือบนสัดส่วน 89.12% และจะดำเนินการซื้อหุ้นส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นเพอร์มาอีก 10% ซึ่งรวมมูลค่าดีลนี้คาดใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 9.1 หมื่นล้านบาท

โดยหลังจากมีการแก้ไขสัญญาระหว่าง 2 ฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ธนาคารกรุงเทพ จะพยายามเร่งกระบวนการต่างๆเพื่อให้กระบวนการซื้อขายเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนมิ.ย. แต่จะสามารถปิดดีลดังกล่าวได้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับ การขออนุญาตจากธนาคารกลางทั้งสองแหล่ง คือธนาคารกลางอินโดนีเซีย และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท)ด้วย ซึ่งหากไม่ทันตามกำนดที่วางไว้ ก็จำเป็นที่ต้องกลับไปซื้อหุ้นบน 1.77 เท่าของบุ๊กเวลูเหมือนสัญญาเดิม

“การแก้สัญญาเบื้องต้น ก็มาจากการหารือจากทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายแล้ว หากการซื้อขายจบภายในเวลาที่กำหนด ก็คงช่วยลดต้นทุนให้กับธนาคารมาก แต่การซื้อขายก็ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารกลางทั้งสองประเทศด้วยที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้ หากกระบวนการต่างๆไม่ทัน เราก็ต้องกลับไปซื้อราคาเดิม”นายทวีลาภกล่าว

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า การปรับสัญญาซื้อเพอร์มาตาเชื่อว่ามีผลบวกกับ BBL ให้ใช้เงินน้อยลง จากเดิมที่คาดจะใช้เงินราว 8.1 หมื่นล้านบาท บนสัญญาซื้อขายเดิมที่ 1.77 เท่าต่อบุ๊ก ดังนั้นหากสามารถซื้อหุ้นดังกล่าวได้ต่ำกว่าเดิม ที่ 1.63 เท่า ก็จะใช้เงินเพียง 7.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 3.7 บาทต่อหุ้น