เปิดสินทรัพย์ 'ปลอดภัย' 'ทางรอด' ลงทุนช่วงวิกฤติโควิด
ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับปรากฎการณ์ที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก จนหลายธุรกิจต้องลอยแพพนักงานและปิดตัวลง
ตลาดทุนก็กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวอย่างหลีกหนีไม่ได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเช่นนี้ ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและรายละเอียดของสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างลึกซึ้งจะไม่ได้เพียงหลบพ้นภาวะขาดทุน แต่ยังช่วยบรรเทาความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้
KBank Private Banking ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย ได้สรุปบทวิเคราะห์พร้อมแนวทางในการลงทุนอย่างรอบด้าน เพื่อรักษาและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ดังนี้
ควรลงทุนอะไรในช่วงโควิด-19
ในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปกคลุมตลาด การถือสินทรัพย์บางประเภทจะช่วยบรรเทาความผันผวนของเงินลงทุนได้ เช่น
ตราสารหนี้ แนะนำให้นักลงทุนถือพันธบัตร เพื่อรองรับความกดดันจากข้อมูลเชิงลบ รวมถึงถือหุ้นกู้เอเชียคุณภาพดี เนื่องจากผลตอบแทนจะน่าจูงใจมากขึ้น หลังจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชนกับพันธบัตร (Credit Spread[1]) กว้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังกลุ่มตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงและเสี่ยงสูง (High-yield) โดยเฉพาะในธุรกิจที่ได้รับอิทธิพลจากวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น สายการบิน วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจพลังงาน
REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) เนื่องจากราคาถูกกดดันจากความอ่อนไหวของการปิดเมือง และตลาดมีสภาพคล่องไม่มาก ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ณ ราคาปัจจุบัน สูงขึ้นมาในระดับที่น่าสนใจอีกครั้ง
โภคภัณฑ์ หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่ผูกอยู่กับนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ เช่น น้ำมัน โดยแนะนำให้ถือทองคำ เพื่อรองรับแรงกดดันจากข้อมูลเชิงลบ และยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากภาวะดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกหรือติดลบในบางประเทศ
Real asset (สินทรัพย์จริง) อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นนอกตลาด (Private Equity) เพื่อสะสมรายได้จากกระแสเงินสด และสร้างการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในอนาคต
หุ้นยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นได้แรงและเร็วกว่าสินทรัพย์อื่น แต่ในปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนนั้น KBank Private Banking แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพระยะยาว เช่น หุ้นบริษัทคุณภาพสูงที่ดำเนินธุรกิจใน Megatrend โดยกองทุนที่แนะนำคือ K HIT และหุ้นในธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก (Positive Impact) โดยกองทุนที่แนะนำคือ K-CHANGE
หุ้นในกลุ่มนี้ไม่ได้มีเพียงศักยภาพในระยะยาวเท่านั้น แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤติ ผลการดำเนินงานยังอยู่ในระดับสูงกว่าตลาด นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 22 เม.ย. 2563 กองทุนอย่าง K-HIT ติดลบเพียง -4.44% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนตัวชี้วัด ซึ่งติดลบไปแล้วถึง -12.68% ในขณะที่กองทุน K-CHANGE มีผลการดำเนินงานเป็นบวกที่ 7.80% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนตัวชี้วัด ซึ่งติดลบ -10.54%
แม้จะคาดการณ์ว่าตลาดทุนจะค่อยๆ ฟื้นตัวและขยับขึ้นได้ก่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ในระยะ 1-3 เดือนต่อจากนี้ ข้อมูลเชิงลบจากผลของโรคโควิด-19 จะยังคงมีออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ตกต่ำในไตรมาสที่หนึ่งและสอง การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทรุดลง รวมทั้งการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดตราสารหนี้
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 3-5 ส่วน เพื่อทยอยเข้าลงทุน พร้อมๆ กับติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ของโรคโควิด-19 รวมทั้งผลสัมฤทธิ์ของมาตรการต่างๆ หากดำเนินไปในทางที่ดี ก็เพิ่มเงินลงทุนส่วนต่อไป แต่หากสถานการณ์พลิกผัน ก็ให้ชะลอการลงทุน
วิกฤติโควิด-19 เป็นปัจจัยชั่วคราว และหลักการ 3 ข้อ ได้แก่ การมีสภาพคล่องให้เพียงพอ การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และการทำความเข้าใจในสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่อย่างถี่ถ้วน จะช่วยรักษาและเพิ่มมูลค่าพอร์ตการลงทุนไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร