ครึ่งปีแรก ‘ค้าปลีก’ ทรุด ยอดขายต่อสาขา 'ติดลบ' ยกกลุ่ม
หลังกลุ่มธนาคารได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 ออกมาแล้ว ถือได้ว่าภาพรวมยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ไม่มาก
ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 คาดการณ์ว่าจะเห็นผลกระทบรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มธุรกิจเรียลเซกเตอร์ที่จะรายงานกำไรตามมามีแนวโน้มไม่แตกต่างกัน
กลุ่ม ‘ค้าปลีก’ เจอปัจจัยลบโดยตรงจากการประกาศล็อกดาวน์ ปิดสถานบริการที่มีความสุ่มเสี่ยงทำให้ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต และคอมมูนิตี้ ต้องปิดบริการชั่วคราว จนมาถึงการประกาศปลดลล็อกดาวน์ และยังต้องรอการเปิดให้บริการอีกครั้งใน ‘กลุ่มสีเหลือง’ มีเกณฑ์เปิดบริการคือ 1 มิ.ย.
นั่นเท่ากับว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2563 กลุ่มค้าปลีกเผชิญตัวเลขยอดขายต่อสาขาเดิมลดลงต่อเนื่องและหนักสุดในเดือน เม.ย.-พ.ค. หรือ ไตรมาส 2 แม้ว่าผู้ประกอบการจะปรับตัวมีการจัดส่งสินค้าดิลิเวอร์รี่ แต่ยังไม่สามารถชดเชยยอดขายที่หายไปได้จากการปิดบริการ
กลุ่มนี้ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ได้ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563 ออกมาทรุดตามคาด หลังปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. จำนวน 66 สาขา และเมกาโฮม 7 สาขา เลื่อนการจัดกิจกรรม HomePro Expo ในช่วงเดือน มี.ค.ออกไปอีกด้วย
รวมถึง โฮมโปรในประเทศมาเลเซียปิดสาขา 6 สาขา หลังรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา และยังประกาศขยายระยะเวลาเพิ่มเติมหลังสิ้นสุดประกาศ 28 เม.ย. ทำให้บริษัทมีรายได้ 14,545.59 ล้านบาท ลดลง 6.14 % จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 1,266.52 ล้านบาท ลดลง 10.80% จากปีก่อนหน้า
ด้านยอดขายต่อสาขาเดิมกระทบหนักจากไตรมาส 4 ปี 2562 ที่ผ่านมาลงไปติดลบ 3 % และในช่วงไตรมาส 1 ปี2563 ติดลบ 6 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน บวก 2.5 % และยังคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะกระทบต่อไปถึงไตรมาส 2 ปี 2563 ติดลบอย่างน้อย 7 % ส่งผลต่อคาดการณ์รายได้และกำไรปีนี้ลดลงตามไปด้วย
ขณะที่ยักษ์ใหญ่ร้านสะดวกซื้อ บริษัท ซีพีพ ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ระบุว่า ในปีนี้ไม่สามารถนำการเติบโตในอดีตมาประมาณการได้ หลัง เบื้องต้นไตรมาส 1 ภาพรวมตัวเลขไม่ค่อยดี โดยคาดว่ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) น่าจะติดลบเล็กน้อย ทำให้รายได้ลดลงและเดือน เม.ย. มีความท้าทายมาก เนื่องจากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว และงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบกับในปีที่แล้วมีวันหยุดสงกรานต์ แต่ปีนี้ไม่มี
เช่นเดียวกับ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME มีผลต่ออยดขายไตรมาส 1 ปี 2563 ลดลง 10 % หลังปิดสาขาขนาดใหญ่ที่มีทั้งหมด 10 สาขา ต้องปิดให้บริการ 8 สาขา เหลือเพียงสาขาบางนาตราด และสาขาอุบลราชธานี ร่วมทั้งปิดบริการ Dohome To Go ทั้งหมด 6 สาขา
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงแผนการเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา คือ ใน จ.สุรินทร์, นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และเทศบาลนครแหลมฉบัง เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้ว และมองว่าหากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติก็จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มเติม
และที่ต้องมีการปรับแผนตามมา คือค้าปลีกรายใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เดิมเตรียงบลงทุนปีนี้ 18,000 ล้านบาท (ไม่รวมการควบรวมกิจการ (M&A)) ขยายธุรกิจในและต่างประเทศ ดังนี้ ประเทศไทย ขยายสาขาใหม่ อาทิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง, ไทวัสดุ 7 แห่ง และบ้านแอนด์บียอนด์ 3 แห่ง พร้อมกับการขยายสาขาของกลุ่มฟู้ด และร้านค้าเฉพาะทาง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล).เอเซีย พลัส ประเมินกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง ช่วงครึ่งปีแรกทุกรายต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบาก โดยนอกจากปัญหาเดิมเรื่องแนวโน้มบริโภคที่ชะลอตัว โดยมีผล SSSG ประเมินงวดไตรมาส 1 คาดหดตัว 1.7% และน่าจะอ่อนตัวรุนแรงขึ้นไม่ต่ำกว่า 12.3% ในไตรมาส 2 และคาด SSSG งวดครึ่งปีของกลุ่มจะลดลงถึง 7% การเปิดสาขาใหม่ๆ แต่ละปีของกลุ่มค้าปลีก ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอีกประการหนึ่ง แม้ตามปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสาขาใหม่ที่เปิดในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะถึงจุดคุ้มทุนช้าลง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวได้รับรู้ในราคาหุ้นค้าปลีกช่วงที่ผ่านมาแล้ว สะท้อนจากการปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงต้นปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นต้องปิดสาขา ขณะที่ฝ่ายวิจัยก็ได้สะท้อนผลกระทบรวมไว้ในประมาณการแล้ว ภายใต้สมมติฐานการปิดสาขายาว 2 เดือนแล้ว ได้ SSSG ของ CRC (-7.8%), HMPRO (-15.9%), COM7 (-22%), DOHOME (-17.4%), ILM (-20%) และ BEAUTY (-32%) ในปีนี้