ท้าชนยิงเลเซอร์! สั่งหาช่องเอาผิด-ถกด่วนทีมสอบสวน
"เอก ป๊อก ช่อ" ท้าชนรับยิงเลเซอร์ "ประยุทธ์" สั่งหาช่องเอาผิด - ผบ.ตร. ถกด่วนทีมสอบสวน
ด้าน พปชร. ชี้ช่องยุบพรรคก้าวไกล หลังโพสต์สอดคล้อง "คณะก้าวหน้า"
จากกรณีมีภาพยิงเลเซอร์ข้อความ “ตามหาความจริง” ปรากฏในสถานที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น วัดปทุมวนาราม สถานีบีทีเอส อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กระทรวงกลาโหม เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ค.2563 ที่ผ่านมา เพื่อสื่อนัยถึงการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ค. โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาตำหนิการกระทำ พร้อมหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อเอาผิดกับการกระทำดังกล่าว
ล่าสุดวานนี้ (12 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงเหตุยิงเลเซอร์ตามสถานที่เชิงสัญลักษณ์เหตุการณ์ พฤษภาปี 53 โดยตอบข้อถามสื่อมวลชนถึงการหาหลักฐานว่า เพียงพอที่จะโยงถึงกลุ่มการเมือง “คณะก้าวหน้า” หรือไม่นั้น โดยนายกฯกล่าวว่า ตนไม่ตอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงที่ต้องตรวจสอบ และไปพิจารณาว่ามีความผิดอะไรหรือไม่ในการกระทำการเช่นนั้น ในช่วงเวลานี้ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการนำหลายๆ เรื่องมาพัวพันในวันนี้ รวมถึงพัวพันเรื่องการแก้ปัญหาโควิดที่รัฐบาลกำลังแก้อย่างเร่งด่วน เพราะมีประชาชนเดือดร้อน
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าจากกรณีดังกล่าว โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) เข้าร่วมประชุมด้วย โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวก่อนประชุมว่า ฝากไปยังกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุ หากจะทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าทำให้เป็นความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ทั้งนี้ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการเตรียมเรียกบุคคลใดเข้ามาสอบปากคำ
มีรายงานว่า เนื่องจากมีการยิงเลเซอร์ในหลายท้องที่ของนครบาล พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงสั่งการให้ศูนย์สืบสวน บช.น. เป็นแม่งานในการรวบรวมพยานหลักฐาน และพิจารณาว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใด
คณะก้าวหน้ารับจัดอีเวนท์ยิงเลเซอร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊คคณะก้าวหน้า ได้โพสต์คลิปวีดิโอพร้อมข้อความระบุว่า “พฤษภา 35|53 ความจริงต้องปรากฏ ถีบลงเขา-เผาลงถังแดง14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา ’35 พฤษภา ’53 กี่ครั้งที่ประชาชนมือเปล่า ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น กี่ครั้งที่ผู้ฆ่าและผู้สั่งฆ่า ไม่เพียงไม่ต้องรับโทษ
แต่ยังเติบใหญ่ในเส้นทางอำนาจ ทุกครั้งความจริงถูกทำให้เลือนหาย ความยุติธรรมไม่เคยมาถึง พอกันทีกับการที่ขอเพียงมีอำนาจล้นฟ้าจะลงมือฆ่าคนเป็นร้อยก็ไม่ผิด ฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่า ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรงอีกต่อไปว่าใครคือคนที่ฉายแสงสว่างส่องหาความจริง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพวกเรา “ประชาชน” คนธรรมดาที่กำลังร่วมกัน #ตามหาความจริง”
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า # ตามหาความจริงกับเรา 12-20 พ.ค.นี้ ทางเพจ#คณะก้าวหน้า ฉายภาพกลางกรุงมันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น #ความจริงต้องปรากฏ
พปชร.จี้“พิธา”แจงก้าวหน้าครอบงำ
ทางด้านพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรค แถลงว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ควรออกมาชี้แจงว่า พรรคก้าวไกลยินยอมให้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช และคณะก้าวหน้า ควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมทางการเมืองดังกล่าวหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เป็นการกระทำของกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. พรรคก้าวไกลทั้งสิ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยมีโทษถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล
“ประชาชนทั่วไปมองเห็นว่ากิจกรรมภายใต้หัวข้อ #ตามหาความจริง ที่นำโดยคณะก้าวหน้าที่โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์และแฟนเพจเฟซบุ๊คพร้อมคลิปวีดีโอและ #ตามหาความจริง ในค่ำของวันที่ 11 พ.ค. เพื่อเชิญชวนให้ติดตามข้อมูลภายใต้ #ตามหาความจริงระหว่างวันที่ 12-20 พ.ค. และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน น.ส. พรรณิการ์ ก็ได้โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ประกาศว่าการฉายภาพกลางกรุงพร้อมข้อความว่า “ตามหาความจริงเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นพร้อมทั้งเชิญชวนให้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่แฟนเพจเฟซบุ๊คคณะก้าวหน้าระหว่างวันที่ 12-20 พ.ค. 63”
ชี้ช่องเอาผิดยุบพรรค
ซึ่งอาจมีความมีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจนสอดรับกันเป็นกระบวนการกับความเคลื่อนไหวของ ส.ส. พรรคก้าวไกล เพราะทั้งลำดับเวลาในการโพสต์ข้อความและ #ตามล่าหาความจริง ที่ริเริ่มนำโดยน.ส. พรรณิการ์ วานิช ตั้งแต่เวลา 9.23 น. ของวันที่ 11 พ.ค. และต่อมาทีมโฆษกพรรค ทีมรองเลขาธิการพรรค ทีมกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. พรรคก้าวไกลได้เผยแพร่ข้อความและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องขยายออกไป
ดังนั้นจึงเกิดการตั้งคำถามว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล ที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา 28 ที่พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมือง ซึ่งมีโทษถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคตาม มาตรา 92
พรรคก้าวไกลปัดถูกครอบงำ
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ กล่าวโฆษกพรรคก้าวไกล ตอบโต้ว่า กรณีรองโฆษก พปชร.พาดพิงว่า ตนคิดว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมือง ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนมีสิทธิทวง คือความยุติธรรมที่มีเงื่อนงำมาสิบปี การเปิดเผยข้อเท็จจริงกรณีการสูญเสียจากเหตุการณ์ชุมนุมในเดือนพ.ค. ปี 2553 เป็นสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ต้องฝักใฝ่ฝ่ายใด
“วันนี้การทวงถามความจริงไม่ใช่หน้าที่ของพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า แต่ควรเป็นหน้าที่คนในชาติด้วยซ้ำ ประเด็นการยุบพรรคที่น.ส.ทิพานันกล่าวนั้นหากจะยุบเพราะพวกเราทวงถามความเป็นธรรมให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์แล้วละก็ ตนคิดว่ามันน่าสังเวชกว่ากรณีเงินบริจาคเท่ากับเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่เสียอีก”
นายณัฐชา กล่าวว่า การที่ส.ส.พรรคก้าวไกล ออกมาร่วมสนับสนุนแคมเปญและแฮชแท็กดังกล่าว เพราะมันเป็นสิ่งพรรคก้าวไกล สืบทอดเจตนารมณ์ มาจากพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบไป คือการเรียกร้องต่อสิทธิเเละเสรีภาพของประชาชน ส่วนประเด็นที่ว่าน.ส.พรรณิการ์ และคณะ คณะก้าวหน้า ครอบงำพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องตลก ไม่ใครครอบงำเราได้ เพราะเราคือสายเลือดเดียวกัน