ความเสี่ยง 'เศรษฐกิจโลก' ที่ต้องระวัง
การที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส ถือเป็นภาวะถดถอยทางเศรษฐิจ หรือ Recession ดังนั้นชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะถดถอย คำถามคือ ภาวะถดถอยนี้จะนานแค่ไหน และจะแย่กว่านี้หรือไม่ในช่วงครึ่งหลังของปี
ช่วงนี้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 เริ่มมีการรายงานออกมาจากประเทศต่างๆ ซึ่งตัวเลขชี้ให้เห็นชัดเจนถึงผลกระทบที่รุนแรงของวิกฤติโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ในทุกประเทศอุตสาหกรรมหลักออกมาติดลบ เช่น สหรัฐ -4.8% กลุ่มสหภาพยุโรป -3.8% อังกฤษ -2.2% เท่ากับเยอรมนี อิตาลี -4.7% และหนักสุดฝรั่งเศส -5.8% สำหรับเอเชีย การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนไตรมาสแรก -6.8% ญี่ปุ่น -3.4% และไทยที่เพิ่งประกาศตัวเลขอาทิตย์ที่แล้ว -1.8%
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของปี และช่วงไตรมาส 2 คือเดือน เม.ย.-มิ.ย. การหดตัวของเศรษฐกิจคงจะมีมากขึ้น จากมาตรการล็อกดาวน์เศรษฐกิจที่เกือบทุกประเทศใช้ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะติดลบมากกว่าไตรมาส 1 ในทุกประเทศ และการที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส ถือเป็นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ หรือ Recession ดังนั้นชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะถดถอย คำถามคือ ภาวะถดถอยนี้จะนานแค่ไหน และจะแย่กว่านี้หรือไม่ในช่วงครึ่งหลังของปี
อาทิตย์ที่แล้ว กรรมการผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจากหลายประเทศชี้ว่าผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจโลกนั้น รุนแรงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม คืออาจติดลบถึง 3% ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกปีหน้ามีความไม่แน่นอน และอาจลากยาวกว่าที่ประเมินไว้
หมายความว่าการฟื้นตัวแบบตัววีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจไม่เกิดขึ้น ตรงกันข้ามการฟื้นตัวจะใช้เวลาและอาจลากยาวถึงปีหน้า แต่จะยาวแค่ไหนคงขึ้นอยู่ว่าจากนี้ไปจะมีปัจจัยลบอื่นๆ หรือไม่ ที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจ รวมถึงความเข้มแข็งของนโยบายที่ภาคทางการของประเทศต่างๆ จะดำเนินการที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ในประเด็นนี้ ถ้าจะเข้าใจง่ายๆ ก็คือ จากจุดนี้ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาใหม่ หลังจากประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ควรทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่จะไปได้ดีหรือเร็วแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยและความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจจากนี้ไป รวมถึงนโยบายของภาคทางการที่จะออกมา นี่คือ ความเสี่ยง คือจะมีปัจจัยลบอีกหรือไม่ที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจถูกกระทบ ทำให้การฟื้นตัวสะดุดและต้องล่าช้าออกไป
ในเรื่องนี้ อาทิตย์ที่แล้ว องค์กรเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอร์รัม (World Economic Forum) ได้ออกรายงานผลสำรวจความเห็นนักบริหารความเสี่ยงมืออาชีพทั่วโลก 350 คนว่า ประเมินความเสี่ยงที่จะมากระทบเศรษฐกิจและธุรกิจจากนี้ไปอย่างไร โดยเฉพาะในปีนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ สิบความเสี่ยงสำคัญที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญขณะนี้เรียงตามลำดับดังนี้
หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลากยาว สอง ภาวะล้มละลายในภาคธุรกิจทั้งบริษัทใหญ่ และธุรกิจเอสเอ็มอี สาม อุตสาหกรรมสำคัญที่อาจไม่สามารถฟื้นตัวได้ เช่นธุรกิจการบิน สี่ การว่างงานที่สูงและนาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ห้า การจำกัดการเดินทางและการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดน
หก ปัญหาหนี้และฐานะการคลังของประเทศ โดยเฉพาะจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังทำกันอยู่ เจ็ด ผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต แปด วิกฤติเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่จากปัญหาหนี้ที่มีอยู่ เก้า การระบาดของอาชญากรรมไซเบอร์และการขโมยข้อมูล สิบ การระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 หรือโรคระบาดอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น
นี่คือความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจกังวล ซึ่งถ้าเกิดขึ้นโดยเฉพาะ ถ้าหลายความเสี่ยงเกิดขึ้นพร้อมกันก็จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะยากและล่าช้าออกไป เป็นความห่วงใยที่มีเหตุมีผล เพราะหลังการผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง กิจกรรมเศรษฐกิจคงจะยังอ่อนแอ การว่างงานจะมีมากและในบางประเทศจะยืนอยู่ในระดับสูง
ขณะที่บริษัทธุรกิจเอง โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีก็ยังอ่อนแอ บางรายสู้ไม่ไหวต้องปิดกิจการ บางอุตสาหกรรมไม่สามารถฟื้นได้ เพราะประชาชนไม่ใช้จ่ายหรือเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้จ่าย เช่น การท่องเที่ยว ซึ่งกระทบธุรกิจการบิน นโยบายควบคุมการระบาดระหว่างประเทศอาจกระทบการเคลื่อนย้ายสินค้าและการเดินทางข้ามพรมแดน กระทบห่วงโซ่การผลิต ทำให้การผลิตมีต้นทุนมากขึ้น หรือมีข้อจำกัดจนขยายการผลิตไม่ได้
ในบางประเทศการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐ อาจทำให้ฐานะการคลังของประเทศอ่อนแอ และจะกระทบความสามารถในการชำระหนี้ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไม่ฟื้นตัว ในประเทศที่ภาคเอกชนมีหนี้สูง ความอ่อนแอของเศรษฐกิจก็อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นในภาคเอกชน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกว้างขวางจนเป็นปัญหาเชิงระบบ ก็อาจนำไปสู่การเกิดเป็นวิกฤติการเงินได้
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ความเสี่ยงของการกลับมาระบาดรอบ 2 รอบ 3 ของโควิด-19 หรือมีการระบาดในรูปแบบอื่นทำให้ทางการต้องกลับมาใช้มาตรการปิดเมืองเข้าควบคุมอีก ซึ่งจะกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมาก
เหล่านี้คือความเสี่ยงที่จะทำให้กระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากนี้ไปมีความไม่แน่นอนสูง เป็นเรื่องที่ทั้งภาคเอกชนและภาคทางการจะต้องตระหนักและช่วยกันระมัดระวัง เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในกรณีของเราที่ต้องระวังมาก คือการกลับมาระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 หลังมาตรการผ่อนคลาย ซึ่งมีให้เห็นแล้วในหลายประเทศในเอเชีย ทำให้เราจะประมาทไม่ได้เพื่อป้องกันไม่ให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจถูกกระทบ