การศึกษายุคใหม่ต้องกระตุ้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้หลายด้าน
นักการศึกษาแนะ การศึกษายุคใหม่ครูต้องกระตุ้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้หลายด้านพร้อมกัน สร้างบรรยากาศปลุกความคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียน และต้องเปิดอิสระให้ออกแบบการเรียนการสอนที่แตกต่างกันได้
วงการศึกษาไทยปลูกฝังกันมานานโดยครูจะรักนักเรียนที่เรียนเก่งและชังเด็กหลังห้อง เด็กเกเร โดยหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยเปลี่ยนความคิดทางการศึกษาได้ เป็นโอกาสที่ดีของครูที่จะได้เรียนรู้วิธีช่วยเด็กเกเรหลังห้อง ซึ่งในหนังสือไม่ได้เป็นเฉพาะชุดความคิดแต่ยังรวมถึงชุดการกระทำ ทำให้เด็กเกือบทุกคนบรรลุเป้าหมายนี่คือแรงบันดาลใจของหนังสือPoor Students, Rich Teaching ของ Eric Jensen
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape จัดงานเสวนาสาธารณะหัวข้อ "Poor Students, Rich Teaching สอนเปลี่ยนชีวิต - สู้ความเหลื่อมล้ำด้วยพลังแห่งการสอน" ผ่าน เฟสบุ้ก ไลฟ์ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง (TSQP) กสศ. กล่าวว่า จากที่ได้อ่านหนังสือ Poor Students, Rich Teaching สถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาก็มีการด้อยโอกาสทางการศึกษา 52 % ใกล้เคียงกับสถานการณ์ของไทย โดยส่วนหนึ่งของความด้อยโอกาสเกิดจากในห้องเรียน ซึ่งรวมถึงห้องเรียนของโรงเรียนดี ๆ มีคุณภาพ
ส่วนหนึ่งของนักเรียนในไทยเป็นเด็กที่ขาดแคลนการสนับสนุนเชิงอารมณ์ การยอมรับตัวเองหรือพัฒนาความภาคภูมิใจ ทำให้การเรียนก็จะเป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยในหนังสือ Seven vectors of development ของ Arthur W. Chickering ได้มีการพูดถึง 7 ประเด็นในการพัฒนาทั้ง 1. การพัฒนาขีดความสามารถ 2. การจัดการอารมณ์ 3.พัฒนาจากการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไปสู่ความเป็นอิสระ
4. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 5. พัฒนาอัตลักษณ์ของตัวเอง 6. นำไปสู่เป้าหมายชีวิต และ 7.ความมีคุณธรรม ซึ่งการศึกษาที่จัดอยู่ทั่วไปไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ เพราะสอนเน้นไปด้านวิชาการส่วน 7 ด้านนี้เป็นของแถมจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องการสร้างสิ่งเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม เราเห็นความหวังว่าจะสามารถพัฒนาการศึกษาได้โดยใช้หนังสือ Poor Students, Rich Teaching มาช่วยชี้ทาง ซึ่งมีแนวคิดวิธีการที่น่าจะใช้ได้ผลดี สิ่งสำคัญคือความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ซึ่งมีสัญชาตญาณ มีศักยภาพในการ ซึ่งหัวใจสำคัญของการศึกษาคือเรื่องการเรียนรู้ ที่ผ่านมาการศึกษาในศตวรรษที่ 20 เน้นผลิตคนให้ออกมาเหมือนๆ กันเพื่อไปทำงานโรงงานอุตสาหกรรมมีกฎเกณฑ์กติกาตายตัว
ต่อมารู้ว่าเป็นวิธีที่ล้าสมัยซึ่งการศึกษาไทยยังไปไม่ถึงการศึกษาในศตวรรษที่ 21 แต่ก็มีความพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น ดังนั้น 7 วิธีการจากหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหลักปฏิบัติที่สามารถโยงเข้าสู่ประเทศไทยและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องไว้ใจครูให้เกียรติครู และต้องให้การสนับสนุนครู
โดยการศึกษาในศตวรรษ 21 ไม่มีหยุดนิ่ง ยังมีการพยายามทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ในช่วง 10-20 ปี OECD ระบุว่า หัวใจในการพัฒนาคนคือ “การคิดแบบสร้างสรรค์” ที่ต้องหาวิธีจัดการเรียนการสอนซึ่งไม่ยาก หลายโรงเรียนใช้วิธีการแอคทีฟเลิร์นนิ่ง และ “ไฮเพอร์ฟอร์มมิ่ง คลาสรูม” เช่น ครูจะต้องทำหน้าที่กระตุ้นให้เด็กเรียนรู้หลายด้านพร้อมกัน ทั้งวิชาความรู้ นิสัยใจคอ จิตวิญญาณ จากที่ได้คุยกับทางศาสตราจารย์จากฟินแลนด์ การเรียนรู้ที่โรงเรียนเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ถึงครึ่งของการเรียนรู้ทั้งหมด
ยังมีการเรียนรู้จากพื้นที่ ชุมชน สังคม ต้องมีพื้นที่การเรียนรู้เพราะเด็กที่ฟินแลนด์เลิกเรียนบ่ายสองก็ต้องไปทำกิจกรรมเข้าชมรมที่ตัวเองสนใจ การที่เราจะมีพลเมืองคุณภาพสูงเราจะต้องจัดพื้นที่การเรียนรู้ไม่ใช่แค่เน้นเฉพาะการเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น
ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนทางศึกษาที่ต้องแก้ไขคือเรื่องความไม่เสมอภาคทางการศึกษา มีเด็กด้อยโอกาส เด็กยากจนพิเศษ เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งนอกจากข้อมูลจากสภาพัฒน์ ฯ ระบุว่าผลกระทบจากความยากจนและ COVID-19 ทำให้เด็ก 6.7 แสนคนเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา
อีกด้านหนึ่งยังเห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น
ข้อมูลจาก PISA 2018 ระบุว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูงมากอยู่ในระดับเดียวกับประเทศแถบละตินอเมริกา ทั้ง ชิลี เปรู โคลัมเบีย ซึ่งพบว่ามีความแตกต่างระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดใหญ่สูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรงบประมาณไม่เกิดการกระจายตัวที่ดีนักควรมีการสนับสนุนเพิ่มเติมให้โรงเรียนขนาดเล็กและนักเรียนยากจนพิเศษ
การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนสิ่งสำคัญคือต้องทำบรรยากาศให้เกิดกวามคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียนเด็กเชื่อมั่นในตัวเอง คิดในเชิงบวก ซึ่งการจะทำได้ครูจะต้องเชื่อมั่นใจตัวเด็กก่อนว่า เด็กที่เขาสอนจะสามารถประสบความสำเร็จพัฒนาตัวเองได้ แม้แต่จะเป็นเด็กที่มีฐานะยากจน หรือมีความไม่พร้อมในด้านต่าง ๆ
ถ้าครูมีทีศนคติดที่ดี เชิงบวกก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความสำเร็จ ตรงนี้เป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จากในหนังสือ และสามารถขยายผลต่อไปในทางปฏิบัติ โดยที่จะต้องให้อิสระ โรงเรียนเรียน ครู ในการดำเนินการสอนที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน ไม่ใช่ยึดทำตามจากระบบของส่วนกลาง และการพัฒนาคุณภาพการศึกษาต้องเริ่มจากการพัฒนาคุณภาพครู ทั้งคุณภาพการเรียนการสอน การพัฒนามายด์เซ็ต และให้อิสระในการทำงานด้วย
รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของการศึกษาคือเราไม่เคยมีความชัดเจนเรื่องปรัชญาการศึกษา จนเกิดความอ่อนแอในการผลิตและพัฒนาครู ที่ผ่านมานโยบายการศึกษาเป็นแบบบนลงล่าง การพัฒนาจึงต้องทำอย่างไรถึงจะให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในห้องเรียนได้
เพราะเราไม่สร้างหลักสูตรเดียวที่ใช้ได้กับทุกคนได้ โดยกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาคือคุณครู ซึ่งมีกองหน้าบุกเบิกนวัตกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ แต่ต้องไปดูว่าทำไมครูเหล่านี้ไม่สามารถแสดงศักยภาพหรือความสามารถออกมาได้ตรงนี้เป็นคำถามใหญ่ สิ่งสำคัญคือเรื่องระบบที่ต้องให้อิสระโรงเยน ตั้งแต่การคัดเลือกครูให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์ของตัวเองไปจนถึงอิสระในเรื่องหลักสูตร
สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้มีมากมายในการพัฒนาการศึกษา สิ่งหนึ่งคือเรื่องการจัดการความสัมพันธ์เชิงอำนาจของครูกับนักเรียนซึ่งจะต้องทำให้เป็นเชิงราบมากขึ้นจากเดิมที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจสูงมาก เพื่อทำให้เกิด เกิดโกรธ์ มายเซ็ต ไม่ใช่ให้นักเรียนอยู่ในบรรยากาศความหวาดกลัว โดยช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
เริ่มเห็นความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบการเรียนการสอน ซึ่งการจัดการศึกษาในอนาคตตัวระบบนิเวศน์การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนแน่นอน โรงเรียนอาจไม่สถานศึกษาเพียงลำพังแต่ต้องมี บ้านผู้ปกครองงเข้ามามีบทบาทร่วมกันกับครูมากขึ้น ซึ่งที่จะต้องมีก็คือ แพลตฟอร์มที่หลากหลายรูปแบบ พื้นที่สำหรับเด็กเปราะบางยากจนพิเศษก็ต้องแบบหนึ่งเด็กในเมืองก็ต้องแบบหนึ่ง ทั้งหมดต้งอมีความหลากหลายตรงกับความต้องการของผู้เรียน