'เทวัญ' ตั้งกรรมการ 10 คน สอบ 'อสมท' แบ่งครึ่งชดเชยคลื่น 2600 MHz
"เทวัญ" เซ็นคำสั่งตั้งกรรมการ 10 คน สอบปม "อสมท" แจ้งยืนยันเยียวยาค่า "คลื่น 2600 MHz" ให้เอกชนครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการรักษาผลประโยชน์หรือทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ ขีดเส้นแล้วเสร็จใน 20 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการแจ้งยืนยันรายละเอียดและสัดส่วนการชดใช้ หรือ การจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 MHz
โดยหนังสือดังกล่าว ระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 นายสุวิทย์ มิ่งมล ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และคณะจำนวน 20 คน ได้ยื่นหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ณ จุบริการประชาชน 1111 ศูนรับเรื่องราวร้องทุข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่าน นายทวัญ ลิปตพัล รัฐมนตรีประสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นข่าวที่ปรากฎผ่านสื่อมวลชนต่าง ๆ กรณีมีการนำเสนอข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เสนอแบ่งสัดส่วนเงินชดเชยคลื่นความถี่ 2600 MHz ให้แก่เอกชนคู่สัญญาครึ่งหนึ่ง และสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน และเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ (Hot issue) จึงเห็นควรพิจารณามอบหมาย นายเทวัญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแล บมจ. อสมท เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ
ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการ กรณีการแจ้งยืนยันรายละเอียด และสัดส่วนการชดใช้ หรือการจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 MHz ที่ถูกต้อง และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกำกับดูแลให้ บมจ. อสทม ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และอำนวยประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง บมจ. อสมท
อาศัยอำนาจตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 165/2562 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 169/2562 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2562 และบัญชาของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ในบันทึกข้อความ ที่ นร. 0107.04/4152 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2563
จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการแจ้งยืนยันรายละเอียดและสัดส่วนการชดใช้ หรือการจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 MHz โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่ และอำนาจ ดังต่อไปนี้
- ผู้ตรจวราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ
มีกรรมการประกอบด้วย - ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด
- ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
- ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- ศาสตราจารย์นันทวัฒน์ บรมานันท์
- ผู้อำนวยการส่วนกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
- ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ เป็นเลขานุการ
- เจ้าหน้าที่สำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ที่ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ มอบหมาย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
- ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
สำหรับหน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ คือ
- ตรวจสอบข้อเท็จจริง เอกสาร การดำเนินการ มาตรการ และหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีการแจ้งยืนยันรายละเอียดและสัดส่วนการชดใช้ หรือการจ่ายค่าตอบแทนในการเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 MHz ว่ามีข้อเท็จจริงและขั้นตอนอย่างไร เป็นการดำเนินการที่ชอบตัวด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือไม่ เป็นการรักษาผลประโยชน์หรือทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวด้วย
- เรียกเอกสารหรือพยานหลักฐาน และเรียกพนักงาน ลูกจ้างหรือบุคคลต่างๆ มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ
- รวบรวมข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว วิเคราะห์ ประมวลผล เสนอแนะ และสรุปผลการดำเนินการ
- ดำเนินการอื่นๆ ที่จำเป็นหรือตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจบรรลุผลสำเร็จ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการรับทราบคำสั่ง ในกรณีที่คณะกรรมการไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาได้ ให้คณะกรรมการ รายงานเหตุที่ทำให้การดำเนินการไม่แล้วเสร็จต่อผู้มีคำสั่งแต่งตั้ง เพื่อให้พิจารณาขยายระยะวลาดำเนินการตามความจำเป็นครั้งละไม่เกิน 20 วัน จนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ แล้วสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมเสนอความเห็นต่อผู้มีคำสั่งแต่งตั้งมาเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป