จับตา! ชาวจีนกว่า 300 คนพร้อมจ่ายครึ่งล้าน ร่วม ‘ทัวร์สุขภาพ’ ในไทย
สื่อต่างประเทศเผย นักเดินทางชาวจีนกว่า 300 คน สนใจเข้าร่วมโครงการทัวร์สุขภาพในไทย แม้ต้องควักเงิน 500,000 บาทเป็นค่าตรวจหาเชื้อโควิด 3 รอบและกักตัว 14 วัน ก่อนเข้าประเทศ
เว็บไซต์นิคเกอิ เอเชียน รีวิว ของญี่ปุ่น รายงานเมื่อวันพุธ (22 ก.ค.) ว่า ขณะนี้มีชาวต่างชาติราว 1,200 คนจาก 34 สัญชาติ ซึ่งรวมถึงชาวจีนกว่า 300 คน เตรียมเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์ ตามมาตรการผ่อนคลายเฟส 6 ของรัฐบาลไทย
เมื่อไม่นานนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่า จะอนุญาตให้ 4 กลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ต้องการรักษาพยาบาลและศัลยกรรม เข้าประเทศได้ภายใต้มาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด คาดว่าโครงการทัวร์สุขภาพในไทยจะเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้งภายในเดือนนี้
ทั้งนี้ การเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ จะมีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 ครั้งและค่าใช้จ่ายในการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน รวมประมาณ 500,000 บาท
“ชาวต่างชาติชอบมาประเทศไทยเพื่อทำศัลยกรรมตาและจมูก และค่าทำฟันในไทยก็ค่อนข้างถูกกว่าด้วย” นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เผย
นิคเกอิ ระบุว่า ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าไทยตามโครงการทัวร์สุขภาพ ประกอบด้วย เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และจีน แต่นักเดินทางจีนซึ่งรวมถึงคู่สามีภรรยาที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของไทย
สื่อทางการจีน คาดว่า กลุ่มคู่รักชาวจีนที่มีบุตรยากจ่ายค่าทำ IVF รวม 8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยในจำนวนนี้ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นการใช้จ่ายในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับชาวจีนที่ต้องการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือเลือกเพศของบุตรด้วยวิธีการ IVF ในต่างแดน เพราะมีค่าบริการที่ถูกกว่าโดยอยู่ระหว่าง 400,000-800,000 บาท และจำนวนโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองด้าน IVF ในจีนแผ่นดินใหญ่มี 460 แห่ง ไม่เพียงพอกับความต้องการที่ล้นหลาม
ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกทั้งสิ้น 85 แห่งที่ลงนามต้อนรับชาวต่างประเทศสำหรับโครงการทัวร์สุขภาพ