จับตารื้อ 'หลักฐานใหม่' คดีบอส ชี้ประเด็นโคเคน 'ขับเสพ'

จับตารื้อ 'หลักฐานใหม่' คดีบอส ชี้ประเด็นโคเคน 'ขับเสพ'

จับตาหน่วยงานกลาง สรุปข้อมูลชุดใหม่ "คดีบอส" รื้อหลักฐาน ปมประจักษ์พยาน ความเร็วเฟอรารี สารโคเคนหลักฐานใหม่ประเด็น "ขับเสพ" จากที่ตำรวจปัดตกข้อหา

ขณะที่ กก.ชุดตำรวจจ่อเรียกแพทย์ พยาน ให้ปากคำเพิ่ม ขณะที่อดีต ส.ว.ชูชาติ กลับลำยอมรับเคยดูแลพยานปากเอกที่เสียชีวิต แต่ปฏิเสธโยงธุรกิจ “อยู่วิทยา” แค่ขอสปอนเซอร์

ประเด็นคำสั่งไม่ฟ้องคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส" ยังอยู่ในความสนใจของสังคม ล่าสุด

การตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อบกพร่องการสั่งไม่ฟ้องคดีของอัยการ และไม่คัดค้านของตำรวจ ยังคงอยู่ในกระบวนการ

วานนี้ (1ส.ค.) ได้มีการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฝ่ายตำรวจ ที่มี พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ เป็นประธาน และมีการแถลงของ “ส.ว.ก๊อง” นายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร อดีต ส.ว.เชียงใหม่ และว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากถูกมองว่าเกี่ยวโยงกับนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากเอก ผู้ให้การว่านายบอสขับเฟอร์รารีความเร็วแค่ 60 กม.ที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุบนถนน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดเผยว่า ในวันนี้(1ส.ค.)จะเน้นการตรวจสอบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายของตำรวจที่ทำการสอบสวน อีกต้องมีการเรียกแพทย์และพยานมาให้ปากคำอีกหลายปากโดยเฉพาะในประเด็นพบสารโคเคนในเลือดของบอส อยู่วิทยา ซึ่งจะต้องสอบเพิ่มเติมเพราะเมื่อวานนี้ยังไม่ได้มีการเขิญแพทย์มาสอบปากคำแต่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงตามคำให้การและบันทึกการตรวจร่างกายในสำนวนเก่า หากมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนและคดียังไม่หมดอายุความก็สามารถแจ้งข้อหาการเสพสารเสพติดเพิ่มเติมได้

ส่วนกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่แจ้งข้อหาตั้งแต่ตรวจพบจนเกิดความล่าช้า พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนสามารถใช้ดุลพินิจในการแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากพบก็สามารถดำเนินคดีได้ เช่นเดียวกับที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกับตำรวจบางนายไปแล้ว สำหรับคณะกรรม ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาเป็นการสรุปข้อเท็จจริงเสนอ ผบ.ตร.เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

สำหรับการแถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(31ก.ค.)ในประเด็นสารโคเคนในเลือดของ บอส อยู่วิทยา เป็นข้อมูลที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนี้ สามารถตรวจสอบมาได้ และนำมาชี้แจงไม่ได้เป็นการเห็นแย้งกับคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ แต่อย่างใด ทั้งนี้คณะกรรมการตำรวจยังต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นอื่นเพิ่มเติมอีก โดยจะพยายามให้สร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 วันตามกรอบที่ ผบ.ตร.กำหนด

จับตารื้อคดีจากปมเสพโคเคน

แหล่งข่าวจากหน่วยงานยุติธรรม ระบุว่า คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการในคดีนี้ ทั้งตำรวจและอัยการใช้หลักฐานสำคัญ 2 อย่าง คือ 1. พยานบุคคลที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยาน กับ 2. พยานผู้เชี่ยวชาญประกอบนิติวิทยาศาสตร์ ในเรื่องความเร็วของรถโดยทั้งประจักษ์พยาน และพยานผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันหลักฐานเรื่องเดียวกัน คือความเร็วรถ

ดังนั้นหากมีการรื้อหลักฐานในส่วนนี้ โดยมอบหมายให้หน่วยงานกลางที่ได้รับการยอมรับ ตรวจสอบความเร็วรถใหม่ เช่น สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หรือสำนักวิชาการอื่นๆ ย่อมถือว่าเป็นหลักฐานใหม่ และในอดีตก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว ในคดีการเสียชีวิตของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ที่มีการตรวจสอบพยานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ว่านายห้างทองยิงตัวตายเอง หรือถูกฆาตกรรม

อีกจุดหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ สารโคเคนที่พบในร่างกายของนายบอส หากทันตแพทย์ที่รักษาฟันนายบอสยืนยันว่าไม่ได้ให้ยาที่มีส่วนผสมของโคเคนหรืออนุพันธ์ของโคเคน และการให้ยาอื่นๆ ไม่มีผลทำให้เลือดแสดงผลว่ามีสารโคเคนผสมอยู่ ก็น่าจะเป็นหลักฐานใหม่ในแง่ของการ “ขับเสพ” หรือขับรถขณะมึนเมาได้ จากเดิมที่ตำรวจปัดตกข้อหานี้ไป

คุ้ยความเชื่อมโยงพยานปากเอก

ขณะที่ประเด็นนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากเอก ผู้ให้การว่านายบอสขับเฟอร์รารีความเร็วแค่ 60 กม. ที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุบนถนน ยังไม่ยุติเมื่อมีการเปิดประวัติและข้อมูลส่วนตัวของพยานรายนี้ ทำให้คดีดูมีเงื่อนงำมากขึ้น

จากการตรวจสอบประวัติ นายจารุชาติ มีภูมิลำเนาใน อ.พาน จ.เชียงราย แต่ไปทำงานและอยู่ที่จ.เชียงใหม่ โดยเฟซบุ๊กของนายจารุชาติ ระบุข้อมูลส่วนตัวไว้ว่าอยู่ที่เทศบาลนครเชียงใหม่ ตรงกับคำให้การของครอบครัวและญาติๆ นอกจากนั้น นายจารุชาติ ยังเคยไปทำงานที่ไต้หวัน ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า เดินทางออกไปเมื่อปี 2557 และกลับมาเมื่อปี 2560

ข้อสงสัย“พยาน”ลูกน้องส.ว.ก๊อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ ข้อมูลประกันสังคมของนายจารุชาติ ระบุว่านายจ้างของนายจารุชาติ คือ บริษัทนิติชัย ทนายความ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 33/3 หมู่ 3 ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่

สถานที่ตั้งของ บริษัทนิติชัย ทนายความฯ ตั้งอยู่บนที่ดิน ที่เป็นบ้านของ นายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร หรือ “ทนายก๊อง” หรือ “ส.ว.ก๊อง” อดีต ส.ว.เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 31 ก.ค.63 นายชูชัย ออกมาให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้จักนายจารุชาติ ส่วน บริษัทนิติชัย ทนายความฯ ก็เป็นบริษัทของคนรู้จักกัน มาขอเช่าที่บ้านของตนเป็นที่ตั้งบริษัท เนื่องจากตนเองไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้นานหลายปีแล้ว จึงยอมให้เช่า

นอกจากนั้น นายชูชัย ยังปฏิเสธว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับคนในตระกูลอยู่วิทยา แต่อาจจะมีการติดต่อกันเรื่องสปอนเซอร์บ้าง เพราะตนเป็นผู้บริหารทีมฟุตบอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด และล่าสุดก็เพิ่งเปิดตัวเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่ ของพรรคเพื่อไทยด้วย

ส.ว.ก๊องกลับลำรับดูแล”จารุชาติ”

ล่าสุด วานนี้(1ส.ค.)เมื่อเวลา 10.30 น. นายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ได้เปิดแถลงข่าว ที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังจากพบหลักฐานว่านายจารุชาติ เป็นพนักงานในบริษัท นิติชัย ทนายความ ที่ตั้งอยู่บนที่ดินของเขา โดยครั้งนี้ นายชูชัย ยอมรับว่าได้รู้จักกับนายจารุชาติ เมื่อต้นปี โดยมีนายวัลลภ ใจชื้น หรือ หมู เจ้าของกุ้งเผาสุพรรณ แนะนำให้รู้จักและอยากให้หางานให้ทำ

ประกอบกับตนเองเป็นประธานสโมสรเชียงใหม่ยูไนเต็ด และมีคนรู้จักเป็นจำนวนมาก จึงรับปากที่จะหางานให้ทำ โยนายวัลลภ ได้ระบุว่า นายจารุชาติ เป็นคนขับรถส่งกุ้ง ขับรถดี และทำงานได้ทุกอย่าง จึงช่วยรับไว้ทำงาน โดยให้นายจารุชาติ เข้ามาช่วยทำงานปรับปรุงสนามฟุตบอล และขับรถให้ โดยไม่ทราบมาก่อนว่านายจารุชาติ เป็นพยานสำคัญในคดี บอส อยู่วิทยา

ในช่วงระหว่างเดือน มกราคม ถึงปัจจุบัน นายจารุชาติ ได้เข้ามาทำงานให้ ขณะเดียวกันก็ยังทำงานให้กับนายวัลลภไปพร้อมกันด้วย โดยจ่ายค่าจ้างเป็นรายวัน วันละประมาณ 400-500 บาท โดยล่าสุดได้เข้ามาที่บ้านก่อนเกิดอุบัติเหตุ 2-3 วัน ส่วนที่นายจารุชาติ จะเคยทำงานให้กับตระกูลอยู่วิทยาหรือไม่นั้นไม่ทราบมาก่อน

ปฏิเสธคุยกันถึงคดีบอส

หลังจากทราบว่านายจารุชาติ เป็นพยานสำคัญในคดี บอส อยู่วิทยา ไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่ามีชื่อเป็นพยานในคดีดังกล่าว ก็กำลังจะคุยถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ทันได้พูดคุย นายจารุชาติ ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อน โดยเชื่อว่าการเสียชีวิตเป็นเพียงอุบัติเหตุ

เมื่อย้อนกลับไป ได้รู้จักกันนายเฉลิม อยู่วิทยา เนื่องจาก“มูส” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งของบริษัทสยามไวเนอรี่ จำกัด ที่นายเฉลิม อยู่วิทยา ดูแล ได้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ โดยมีนายสมัคร เชาวภานันท์ แนะนำให้รู้จัก ซึ่งในช่วงนี้ทีมฟุตบอลต้องการสปอนเซอร์เข้ามาช่วยสนับสนุน ทาง “มูส” จึงได้เข้ามาสนับสนุน โดยรู้จักกันนายเฉลิมมาตั้งแต่ปี 2560 โดยสนับสนุนสปอนเซอร์ปีละประมาณ 3 ล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 10 ล้านบาท แต่ขณะนี้ทีมหยุดการแข่งขัน จึงยังไม่มีการสนับสนุนจากสปอนเซอร์

ยันไม่มีเบื้องหลังเรื่องพยาน

ส่วนในเรื่องของคดีความของ บอส อยู่วิทยา ได้มีการพูดคุยกันบ้าง ทราบเพียงว่ามีเรื่องขับรถชนเมื่อปี 2555 เท่านั้น โดยที่ทางนายเฉลิม ได้พูดถึงนายจารุชาติ ว่าเป็นพยานสำคัญในคดี ยืนยันว่า การรับนายจารุชาติ เข้ามาทำงานด้วยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และไม่กังวลว่าจะมีการเอาตนเองไปเชื่อมโยงกับตระกูลอยู่วิทยา ส่วนตนเองนั้น เป็นบุคคลสาธารณะพร้อมตลอดที่จะเปิดเผยทุกเรื่อง

จากการที่นายจารุชาติ มีชื่อเข้าไปเป็นพนักงานของบริษัทนิติชัย ทนายความ จำกัดนั้น ไม่ทราบเรื่อง โดยยืนยันว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว ที่ดินที่ตั้งของบริษัททนายความ เป็นที่ดินของน้องสาวที่ให้บริษัททนายความเช่า

จากการสอบถามเรื่องประกันสังคมของนายจารุชาติ นายชูชัย ระบุว่า ทางสโมสรไม่ได้ทำประกันสังคมให้ แต่การที่มีชื่อนายจารุชาติ มาดทอง เป็นผู้ประกับตนของบริษัท นิติชัย ทนายความ จำกัด ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวนี้

ข้อสงสัยพยานลูกน้องส.ว.ก๊อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูชัย ซึ่งเคยเป็นทนายความและเป็นที่ปรึกษากฎหมาย จึงถูกจับตาว่าบริษัทนิติชัย ทนายความฯ อาจเป็นของคนในเครือข่าย จึงทำให้มีข้อสงสัยว่านายจารุชาติ เป็นลูกน้องของ นายชูชัย ถึงแม้ประเด็นนี้นี้ เจ้าตัวออกมาปฏิเสธก็ตาม

ส่วนกรณีที่นายจารุชาติ ผู้ตายเป็นลูกจ้างของบริษัททนายความ แม้ข้อมูลประกันสังคมจะเป็นข้อมูลเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายจารุชาติจะอยู่ในแวดวงของบุคคลเหล่านี้มาก่อน เพียงแต่นายจ้างเพิ่งให้ไปเข้าระบบประกันสังคม จึงทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยด้วยว่าการไปปรากฏตัวเป็นพยานในคดีนายบอส เป็นเรื่องบังเอิญที่นายจารุชาติไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ หรือเป็นเรื่องของทีมทนายดำเนินการให้ จากคอนเนคชั่นเชื่อมโยงในหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเชื่อมโยงระหว่าง นายชูชัย กับกลุ่มธุรกิจกระทิงแดงของตระกูลอยู่วิทยา จึงมีข้อสังเกตว่า อาจไม่ได้จำกัดเฉพาะการขอสปอนเซอร์สนับสนุนทีมฟุตบอล เนื่องจากนายชูชัย ยังเคยเข้าซื้อกิจการร้านอาหารชื่อดัง “ผาลาดตะวันรอน” ซึ่งในวันเปิดร้านอาหารแห่งนี้ หลังเปลี่ยนเจ้าของ มีข่าวสังคมเขียนถึงกลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ว่า เป็นการจับมือกันระหว่าง นายชูชัย กับ กลุ่มเรดบลู กระทิงแดง

จากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า นายชูชัย ไม่รู้จักคนในตระกูลอยู่วิทยาจริงหรือ ทั้งที่ร่วมหุ้นกันบริหารร้านอาหารชื่อดังของเชียงใหม่

ข้อมูลเชื่อมโยงธุรกิจ-การเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีข้อมูลวงในจากคนเชียงใหม่ว่า ร้านอาหารผาลาดตะวันรอนแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมของคนในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งนิยมไปนั่งรับประทานอาหารและพูดคุยหารือกันในเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยๆ อีกทั้ง นายชูชัย เคยเป็น ส.ว.เชียงใหม่ เมื่อปี 2551 สมัยเดียวกับ นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายประจำตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งเป็น ส.ว.จากสายสรรหา จึงมีความไปได้หรือไม่ ที่ทั้งคู่จะรู้จักกัน เพราะเป็นทนายความด้วยกัน และนำมาสู่การร่วมมือร่วมงานกันในเรื่องอื่นๆ ในเวลาต่อมา

เผยจารุชาติให้การ 2 ครั้ง

จากการตรวจสอบข้อมูลของนายจารุชาติ ช่วงเวลาการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน ไม่ขัดกับช่วงเวลาที่ไปให้การกับตำรวจในฐานะ “ประจักษ์พยาน” คดีบอส ทั้ง 2 ครั้ง คือครั้งแรก ช่วงหลังเกิดเหตุเมื่อปี 2555 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562

มีรายงานข่าวว่า คำให้การครั้งแรก ตำรวจและอัยการไม่ให้น้ำหนักพยานปากนี้ เพราะนายจารุชาติไม่ได้ยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ขณะชน แต่อ้างว่าขับรถผ่านรถเฟอร์รารีของนายบอส โดยตนขับรถด้วยความเร็วไม่ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เชื่อว่ารถเฟอร์รารีของนายบอส น่าจะวิ่งด้วยความเร็วราวๆ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น

แต่คำให้การครั้งที่ 2 ในเอกสารคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ ระบุถึงคำให้การของนายจารุชาติอย่างละเอียดมากขึ้น โดยเจ้าตัวอ้างว่าขับรถกระบะมาในช่องทางเดินรถที่ 2 (เลนกลาง จาก 3 ช่องจราจรบนถนนสุขุมวิทขาออก) ส่วน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ตาย ขับขี่รถจักรยานยนต์มาในช่องทางเดินรถที่ 1 ริมฟุตบาท จากนั้นได้เปลี่ยนช่องจราจรมายังช่องทางเดินรถที่ 2 ทำให้นายจารุชาติต้องหักหลบ และ ดาบตำรวจวิเชียร ยังเปลี่ยนช่องจราจรไปยังช่องทางเดินรถที่ 3 ติดกับเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นช่องทางที่รถนายบอสแล่นมา ทำให้นายบอสหลบไม่ทัน ชนท้ายรถจักรยานยนต์จน ดาบตำรวจวิเชียร เสียชีวิต

พิรุธให้การครั้งที่สองละเอียด

1. รถทั้ง 3 คัน (รถจักรยานยนต์ของตำรวจ รถของนายบอส และรถของนายจารุชาติ) ไม่มีคันไหนขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดเลยหรือ ขณะที่นายจารุชาติมีถิ่นที่อยู่ใน จ.เชียงใหม่ เหตุใดจึงไปปรากฏตัวที่กรุงเทพฯ

2. นายจารุชาติขับรถกระบะมากับ พลอากาศโท จักรกฤช ถนอมกุลบุตร พยานปากเอกอีกคนหนึ่งหรือไม่ เป็นการนั่งรถมาด้วยกัน หรือมาคนละคัน ถ้านั่งมาด้วยกันก็ต้องตั้งคำถามต่อว่า ทั้งคู่รู้จักกันหรือไม่ และไปทำอะไรที่ไหนมา ถึงมาขับรถอยู่บนถนนสุขุมวิทในเวลาตี 5

3. เอกสารคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ (สำนวนที่ถูกสั่งสอบเพิ่มเติมในภายหลัง) อ้างถึงคำให้การของนายจารุชาติเป็นหลัก จึงน่าสงสัยว่า พลอากาศโท จักรกฤช ที่ถูกอ้างเป็นพยานอีกคนหนึ่งนั้น ให้การว่าอะไร ในสำนวนการสอบสวนฉบับเต็มมีหรือไม่ หรือว่านั่งรถมาด้วยกันกับนายจารุชาติ แล้วอ้างคำให้การเดียวกันกับนายจารุชาติ

และ 4. คำให้การครั้งหลังทำไมถึงละเอียดกว่าครั้งแรกมาก และเหมือนจะจำเหตุการณ์ได้อย่างละเอียดลออ ทั้งๆ ที่เป็นการให้ปากคำหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี ขณะที่การให้การครั้งแรก ตำรวจและอัยการกลับไม่ให้น้ำหนัก ทั้งๆ ที่เป็นคำให้การหลังเกิดเหตุใหม่ๆ

นี่คือข้อสังเกตและข้อสงสัยจากคำให้การตามเอกสาร “คำสั่งไม่ฟ้อง” ของอัยการ ซึ่งกลายเป็น “คำสั่งเด็ดขาด” เพราะตำรวจไม่ทำความเห็นแย้ง

การทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏจึงสมควรนำสำนวนการสอบสวนทั้งหมดมาเปิดเผยว่ารายละเอียดของคำให้การเป็นอย่างไร เพราะโดยปกติในการสอบปากคำเบื้องต้น สิ่งที่ต้องถามพยานคือสาเหตุที่ไปปรากฏตัวบริเวณจุดเกิดเหตุว่าไปทำอะไร หรือกำลังจะไปไหน แต่หากเนื้อหาของการสอบสวนมีเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว ก็น่าคิดว่าประจักษ์พยาน 2 ปากนี้มีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งคดีหรือไม่ และทั้งตำรวจกับอัยการเชื่อพยานทั้งสองปากนี้ได้อย่างไร

คำถามที่น่าสนใจหากจะรื้อคดีนายบอสขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็คือ “หลักฐานใหม่” ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 จะมีอะไรเป็นหลักฐานใหม่ได้บ้าง