บีซีพีจี ทุ่ม 871 ลบ.ซื้อ4โรงไฟฟ้าหนุนการเติบโตในไทย
บีซีพีจี ควัก 871 ล้านบาท ปิดดีลซื้อ 4 โรงไฟฟ้าโซลาร์ในไทย ในเครืออีสเทอร์น พาวเวอร์ กำลังผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ คาดรับรู้รายได้ทันที ไตรมาส 3 หลังทุกโครงการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ บริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวม 20 เมกะวัตต์ โดยการซื้อหุ้น 99.99% ในบริษัท อาร์พีวี พลังงาน จำกัด (RPV)
โดยทั้ง 4 โครงการ ตั้งอยู่ในบริเวณ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดลพบุรี และจังหวัดปราจีนบุรี มีกำลังการผลิตรวม 10 เมกะวัตต์ 5 เมกะวัตต์ และ 5 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (adder) จำนวน 15 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าที่ได้รับค่าขายไฟฟ้าในแบบ feed-in-tariff จำนวน 5 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าทุกแห่ง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD)แล้ว และสามารถรับรู้รายได้ทันทีเมื่อการซื้อขายแล้วเสร็จ คาดว่า จะอยู่ภายในไตรมาส3 ปีนี้
“การปิดดีลโครงการดังกล่าว ถือเป็นไปตามกลยุทธ์การลงทุน 5ปีของบริษัท ที่ขยายการเติบโตทั้ในประเทศและต่างประเทศ และเห็นถึงโอกาสที่จะนำโครงการโซลาร์เก่ามาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และจากการคำนวนในเบื้องต้น น่าจะยังคงได้รับอัตราผลตอบแทนการลงทุนในระดับราว 10% คุ้มค่ากับการลงทุน”
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ EP ระบุว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่าง ETP ซึ่งเป็นบริษัทย่อย กับ BCPG โดยจะขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ทั้ง 4 โรง ให้กับ BCPG คิดเป็นมูลค่าขายเบื้องต้น 871 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ เป็นจำนวน 721 ล้านบาท และอีก 150 ล้านบาท ภายในเดือน ต.ค.65
“การดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็น deal ที่ win-win ทั้งสองฝ่าย โดยบริษัทจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยจะทำให้บริษัทมีเงินสดเพิ่มขึ้น และมีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการลงทุนในอนาคต”
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ EP เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา อนุมัติให้บริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ ETP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 75% ขายหุ้นในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในไทย มีกำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ ให้ BCPG มูลค่า 871 ล้านบาท
สำหรับเงินที่ได้รับจากการขายทั้ง 4 โครงการในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนของบริษัทในอนาคตต่อไป ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเงินสดรับเพิ่มขึ้น หรือมีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนในอนาคต หรือชำระคืนเงินกู้ของบริษัท เพื่อลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท และจะส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อไป
โดยที่ผ่านมา บริษัทได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม จำนวน 60 เมกะวัตต์แล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา และพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม อีกกว่า 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ไม่เกินไตรมาส 3 ของปีนี้