"โควิด"ตัวร้าย ฉุดยอดขาย"รถอีวี"

"โควิด"ตัวร้าย ฉุดยอดขาย"รถอีวี"

“อีเอ”เตรียมปรับเป้ารายได้ปีนี้ ลงเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท หลังโควิด-19 กระทบแผนขายรถอีวี 5,000 คันขยับไปปี64 ขณะที่ยอดขายไบโอดีเซลหด มั่นใจกำไรโตใกล้เคียงปีก่อน

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทพลังงานบริสุทธิ์จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจัดทำประมาณการผลการดำเนินงานในปีนี้ใหม่ คาดว่า จะชัดเจนในช่วงสิ้นเดือน ส.ค.นี้ โดยเบื้องต้น ในส่วนของรายได้ คาดว่าจะลดลงจากเดิมตั้งเป้ามีรายได้ กว่า 20,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 15,000 ล้านบาท เนื่องจากแผนการขายรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ “MINE SPA1” จำนวน 5,000 คัน ที่เดิมจะดำเนินการในปีนี้ ต้องเลื่อนออกไปเป็นปี2564 หลังเจอผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางส่วนไม่สามารถจัดส่งได้ตามแผน และผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ขณะเดียวกันลูกค้า คือทางสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัด ก็อยากให้เลื่อนส่งมอบเป็นปีหน้าด้วยเช่นกัน เพราะได้รับผลกระทบจากลูกค้าที่จะมาใช้บริการหายไปในช่วงโควิด-19ทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไปประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจไบโอดีเซล ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลงจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ลดลง

159654763679

ส่วนกำไรปีนี้ คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีกำไรอยู่ที่ระดับ 6,081 ล้านบาท เนื่องจากในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า ยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และยังรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการพลังงานลมหนุมาน 260 เมกะวัตต์

รวมถึง จะเริ่มรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์สารเปลี่ยนสถานะหรือ PCM (Phase Change Material) ที่จะเริ่มผลิตส่งออกได้ปลายปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์ PCM จะส่งให้กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด และยังมองหาโอกาสในการเจาะกลุ่มตลาดเครื่องนุ่งห่มในอนาคตด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้า ที่ล่าสุดได้ร่วมลงนามพันธมิตร 3 ราย(ผู้ร่วมพัฒนา) ได้แก่ 1. Chaleun Sekong Energy Company Limited จาก ประเทศลาว, 2. Vega Digital Company Limited ประเทศไทย และ 3. PSL Service Sole company Limited ร่วมลงนามกับรัฐบาลลาว ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติของลาว จำนวน 2 โครงการ คือ 1. Saravan Downsteam Hydropower Project และ 2.Phamong Hydropower Project รวมกำลังการผลิตราว 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าจำหน่ายให้กับประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาคาดว่า จะใช้เวลา 2 ปี

159654496559

ส่วนความคืบหน้าการยื่นประมูลโครงการโซลาร์ฟาร์ม 4 โครงการ ในประเทศเมียนมา กำลังผลิตรวมผลิตประมาณ 100 เมกะวัตต์ ยังอยู่ระหว่างรอรัฐบาลเมียนมา ประกาศผล คาดว่า จะทราบผลอย่างเป็นทางการภายในเดือน ก.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะรู้ผลในเดือน ส.ค.นี้

ขณะที่การลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในประเทศไทย มองว่า มีโอกาสเติบโตได้ยาก แต่ในส่วนของโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 700 เมกะวัตต์นั้น บริษัทยังสนใจแต่ต้องรอติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ว่าจะดำเนินการสานต่อโครงการอย่างไร เบื้องต้น บริษัทได้ศึกษาศักยภาพความพร้อมไว้ประมาณ 2-3 โครงการ ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลจากเครือข่ายในธุรกิจไบโอดีเซลที่มีอยู่