ทรีนีตี้ ผนึกบิทคับ เปิดน่านฟ้าใหม่ลงทุนเงินดิจิทัล
“ทรีนีตี้” จับมือ บิทคับชวนลูกค้าลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ตามเทรนด์สมัยใหม่ สร้างผลตอบแทนเพิ่มให้อนาคต แนะจัดพอร์ตลงทุน 6 สินทรัพย์ พร้อมเปิดผลตอบแทนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี 63 บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 53% ตามด้วยทองคำ 32% ส่วนหุ้นไทยติดลบ 14.7%
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นส่งมอบผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับลูกค้า จึงได้มีการแนะนำและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการลงทุนใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้ามีการกระจายสัดส่วนการลงทุน ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงสถานการณ์
อย่างไรก็ตามปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง เพราะต้องเผชิญแรงกดดันจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มาถึงการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก
ล่าสุด บริษัท ร่วมมือกับบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง โดยบริษัทจะเป็นผู้แนะนำลูกค้า เพื่อเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บิทคับ ออนไลน์ รวมถึงมีแผนงานจะจัดกิจกรรมร่วมมกันในการให้ความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่ลูกค้าและนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นไม่นาน นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูล และความรู้ในเรื่องนี้มากนัก ดังนั้นการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
"เราจะอาศัยบทวิจัยและบทวิเคราะห์ทางเชิงปริมาณเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักลงทุนในการจัดการสินทรัพย์ประเภทการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) เพื่อเป็นการต่อยอดของการจัดการสินทรัพย์ โดยเชิญชวนลูกค้าและนักลงทุน ให้กระจายความเสี่ยง มาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เป็นเทรนด์การลงทุนสมัยใหม่ ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว"
นายชาญชัยยังกล่าวว่า ในยามภาวะเศรษฐกิจปกติ บริษัทได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ และช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามาโดยตลอด เพื่อให้ลูกค้ามีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม เช่น บริการลงทุนแบบ Portfolio Advisory หรือ พอร์ตมั่นคง พอร์ตว่องไว เพื่อให้นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดหุ้น หรือยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก
โดยบริการนี้บริษัทจะจัดให้มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ช่วยคัดเลือกหุ้น และบอกจังหวะในการเข้าซื้อขายหุ้น รวมทั้งมีผู้แนะนำการลงทุน (IC)ช่วยซื้อ-ขาย ให้ตามคำแนะนำ ซึ่งบริการนี้จะช่วยให้นักลงทุนสะดวกสบายเปรียบเหมือนมีผู้ช่วยจัดการการลงทุนคอยช่วยดูแลการลงทุนให้หรือการบริษัทเปิดขายกองทุนส่วนบุคคล “ทรีนีตี้ เอเชียน ไพรเวทฟันด์" เพื่อระดมเงินออกไปลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ มีการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่ม ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ยกเว้น ญี่ปุ่น (Asia ex-Japan) ที่บริหารกองทุนโดย AZIM Singapore ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่า Benchmark (MSCI ex-Japan) มาโดยตลอด รวมทั้งการกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโต ทางเศรษฐกิจสูง โดยเปิดขายกองทุน SSI-SCA ซึ่งเป็นกองทุนรวมสัญชาติเวียดนาม ที่เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนาม ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมี Business Model ที่ดี ซึ่งสามารถลงทุนได้เหมือนคนเวียดนาม โดยไม่ต้องเสียค่า Foreign Ownership Limit’s Premium
ด้าน นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การลงทุน ในช่วงปี 2563 เต็มไปด้วยความผันผวน จากการระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่อเค้ารุนแรงขึ้น และการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางที่มากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นำมาสู่การผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก และความผันผวนจะยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ทรีนีตี้ ตระหนักถึงความสำคัญที่นักลงทุนจะต้องบริหารสินทรัพย์ โดยการจัดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ให้สอดคล้องกับการผันผวนของเศรษฐกิจโลก
โดยทรีนีตี้ ได้แนะนำให้ นักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนดังนี้ คือ 1. ลงทุนในตลาดหุ้นไทย สัดส่วน 20% เพราะตลาดหุ้นไทยมีความโดดเด่นเรื่องผลตอบแทนจากเงินปันผล 2. ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 15% โดยเน้นน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและอาหาร 3. ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ สัดส่วน 30% เพื่อที่จะรับกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยสม่ำเสมอ 4. ลงทุนในทองคำ สัดส่วน 5-10% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในสหรัฐฯ ที่ติดลบ จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ 5. ถือเงินสด 25% เพื่อรอจังหวะซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่มีราคาถูก และ 6. ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment) เช่น Bitcoin หรืออื่นๆ ในสัดส่วน 1-5%
"ในปีนี้ การลงทุนใน Bitcoin ให้ผลตอบแทนกว่า 53% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ส่วนการลงทุนทองคำในรูปเงินบาท ให้ผลตอบแทนกว่า 32% หุ้น NASDAQ ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทน 19% หุ้นจีน ให้ผลตอบแทน 7% ขณะที่หุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบ 14.7% และ Thai REIT ให้ผลตอบแทนติดลบมากถึง 20.4%"
ทรีนีตี้ มองว่า การจัดสรรเงินลงทุนใน Cryptocurrency ในระดับ 1-5% เป็นการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน เนื่องจาก Cryptocurrency มีความสัมพันธ์ที่มีสหพัทธ์หรือ Correlation กับราคาสินทรัพย์อื่นๆ ในระดับต่ำ และปัจจุบันความผันผวนของสินทรัพย์ของ Cryptocurrency ได้ลดลงมาในระดับ 50% ซึ่งพอรับได้ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือก เมื่อเปรียบเทียบกับความผันผวนในอดีตที่ระดับ 80-90%