'กกร.' ชง 'ปรีดี ดาวฉาย' ฟื้นเศรษฐกิจ ผุดคณะทำงาน แก้อุปสรรคการลงทุน
เอกชนตั้งคณะทำงานEase of doing business รอทำงานกับ “ปรีดี ดาวฉาย” รมว.คลังคนใหม่ เสนอแก้ปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจ ผ่อนเกณฑ์ปล่อยซอฟท์โลน ขยายเพดานลดค่าโอน-จำนองสำหรับอสังหาฯ ราคาไม่เกิน 50 ล้าน
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบันฯ (กกร.) ได้มีการหารือถึงเรื่องที่จะเสนอให้
นายปรีดี ดาวฉาย ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาประเด็นสำคัญๆ ได้แก่การตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน รวมไปถึงการเสนอให้มีการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย
ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชนในเรื่องนี้จะทำให้การจัดอันดับความยาก-ง่ายในการดำเนินธุรกิจ (Ease of doing business) ของประเทศไทยที่จะมีการจัดอันดับโดยธนาคารโลก (World Bank) เป็นประจำทุกปีมีโอกาสที่จะมีอันดับดีขึ้นด้วย โดยล่าสุดไทยอยู่ในอันดับ ที่ 21 จาก 190 ประเทศ เป็นอันดับ 3 ในอาเซียนทั้งนี้การประกาศการจัดอันดับครั้งต่อไปคาดว่าจะมีในเดือน ต.ค.2563
นายสุพันธ์ กล่าวต่อว่าส่วนเรื่องอื่นๆที่ภาคเอกชนต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาคือมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่การขยายมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ที่รัฐบาลเคยให้กับภาคเอกชนออกไปจนถึงสิ้นปี 2563 เช่นการยืดการพักชำระหนี้ การยืดระยะเวลาลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น รวมถึงการพิจารณามาตรการช่วยเหลือ
เอสเอ็มอีเพิ่มเติมทั้งการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี 5 หมื่นล้านบาท การเพิ่มเงื่อนไขการคำ้ประกันเงินกู้ซอฟโลนท์ให้กับเอสเอ็มอีโดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีต่อเนื่องหลักจากระยะเวลา 2 ปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การค้ำประกันของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หมดลง เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการปล่อยกู้ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆอีกมากโดยเสนอให้ลดค่าธรรมเนียมในการจำนองและค่าธรรมเนียมในการโอนจากปัจจุบันที่กำหนดให้ลดสำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ควรปรับเปลี่ยนเป็นขยายให้สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาแพงได้ง่ายขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังขาดแรงขับเคลื่อน ยังมีความเปราะบางอยู่หลายส่วนโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่เคยสร้างรายได้ให้กับประเทศสูงถึง 2 ล้านล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ส่วนที่ภาคเอกชนเป็นห่วงมาก คือ สถานการณ์การจ้างงานที่ยังคงมีความเปราะบาง โดยยังคงมีโอกาสที่จะเห็นการปลดพนักงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มอีกในช่วงที่เหลือของปี
นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เอสเอ็มอีที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งที่ผ่านมาเงินช่วยเหลือซอฟโลน ผู้ประกอบการยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบต่อลมหายใจให้กับเอสเอ็มอีก่อนเดือนต.ค.ที่มาตรการผ่อนผันการชำระหนี้จะหมดลงไม่เช่นนั้นจะเอสเอ็มอีจะล้มหายไปอีก
ในส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นต้องยอมรับขณะนี้ยังไม่สัญญาณที่ดีมากนัก เพราะปัญหาของโควิด-19 จะหวังการส่งออกก็คงยาก เพราะปีนี้ส่งออกคงติดลบ 10 % ขณะที่การท่องเที่ยวยังน่าห่วง เพราะประเทศไทยยังปิดประเทศไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะกังวลการระบาดของโควิด-19
“สิ่งที่จะได้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะการสร้างงาน เช่น การลงทุนในโครงการต่างๆ ในพื้นที่เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นได้ระดับหนึ่งและจะเป็นการช่วยลดการว่างงานลงได้"
ทั้งนี้ กกร.ลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 จากเดิมคาดว่าจะติดลบ 8% ถึงลบ 5% ปรับเป็นติดลบ 9% ถึงลบ 7% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะติดลบเพิ่มเช่นกันจากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 10% ถึงลบ 7% เป็นลบ 12 ถึงลบ 10% ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าอยู่ที่ลบ 1.5% ถึงลบ 1% เท่ากับที่คาดการณ์ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา