นิคมสหกรณ์เบนเข็มลุย"เกษตรอินทรีย์"
กรมส่งเสริมสหกรณ์นำร่อง15นิคมสหกรณ์ ผลิตเกษตรอินทรีย์ อัดรายละ 3.5 หมื่น สร้างโรงเรือน ระบบน้ำ สินค้าป้อนในตลาดพื้นที่ หลังทดลองสมาชิกรายได้เพิ่ม 1.5 แสนบาทต่อครัวเรือนต่อปี
นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า พื้นที่นิคมสหกรณ์มีเขตดำเนินการชัดเจนสมาชิกส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างความร่วมมือ การประสานงาน ถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงใช้เป็นเป้าหมายในการขับเคลื่อนโครงการเกษตรอินทรีย์ในปี 63
โดยเบื้องต้นจะส่งเสริมและพัฒนาความรู้ด้านการผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้แก่สมาชิกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรให้ได้มาตรฐาน เสริมสร้างความเข้มแข็งในกลุ่มผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ และสร้างโอกาสทางการตลาดให้มีช่องทางจำหน่าย สามารถนำความรู้ไปขยายผลต่อได้ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ของนิคมสหกรณ์เข้าไปดูแลคอยให้คำแนะนำได้อย่างสะดวกและใกล้ชิด เพื่อสร้างเครือข่ายนิคมสหกรณ์ผู้ผลิตผักปลอดภัยและยกระดับเป็นผักอินทรีย์ สามารถส่งขายตลาดสำคัญในพื้นที่ คือ โรงพยาบาล สถานที่ราชการและตลาดโมเดิร์นเทรดที่ต้องการอาหารปลอดภัย
ทั้งนี้ได้เริ่มส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับสมาชิกสหกรณ์นิคม 15 แห่งในพื้นที่นิคมสหกรณ์ 13 แห่ง 10 จังหวัด โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนเงินอุดหนุนและให้สมาชิกสมทบ เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของ ในการจัดหาโรงเรือน ขนาด 6X30 เมตร พร้อมระบบน้ำให้แก่เกษตรกรที่เข้าโครงการจำนวน 98 โรง ราคาโรงเรือนละ 50,000 บาท
โดยกรมให้เงินอุดหนุนโรงเรือนละ 35,000 บาท และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสมทบอีก 15,000 บาท พร้อมทั้งจัดอบรมให้ความรู้กระบวนการทำเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานและการตลาด โดยได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปให้ความรู้ศึกษาดูงานแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้ตลอดระยะเวลาในการดำเนินการ
“ก่อนหน้านี้ กรมได้เริ่มทำทดลองจุดประกายให้สมาชิกในนิคมสหกรณ์นำร่อง และทดสอบการทำผักปลอดภัย เพื่อดูว่าจะมีตลาดรองรับมากน้อยเพียงใด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี ไม่เพียงพอจำหน่ายในชุมชน เกษตรกรมีรายได้เพิ่มประมาณปีละ 150,000 บาทต่อครัวเรือน ในปีนี้สมาชิกมีความประสงค์อยากจะต่อยอดโครงการดังกล่าว จึงเริ่มโครงการนี้ขึ้น เป็นปีแรก โดยสนับสนุนให้สมาชิกผลิตผักตามความชำนาญของแต่ละราย แต่ให้เริ่มปลูกแบบผักปลอดภัยและพัฒนายกระดับเป็นเกษตรอินทรีย์ “
สำหรับการอุดหนุนเงินสำหรับสร้างโรงเรือนให้ เนื่องจากการปลูกพืชผักในโรงเรือนจะสามารถควบคุมการผลิตและปลอดภัยจากสารพิษ ซึ่งตลาดมีความต้องการ จากนั้นก็คาดหวังว่าในปีต่อไป นิคมสหกรณ์ที่ผลิตพืชผักอินทรีย์จะขยายไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และวางแผนการผลิตให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในแง่ของชนิดพืชผัก ปริมาณและคุณภาพ และที่สุดนำไปสู่การเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระหว่างนิคมสหกรณ์ร่วมกันเพื่อส่งผลผลิตในพื้นที่ให้กับตลาดในพื้นที่โรงพยาบาล สถานที่ราชการและห้างโมเดิร์นเทรดต่อไปในอนาคต