ปตท.ลุยตลาดก๊าซฯ 'ซีแอลเอ็มวี' ปี64
ปตท.ชี้ความต้องการใช้แอลเอ็นจี กลุ่มซีแอลเอ็มวี และจีนตอนใต้ กว่า 1 ล้านตันต่อปี เตรียมแผนรุกส่งออกปี 64 พร้อมเร่งทำตลาดเชิงพาณิชย์ หวังดันสู่ฮับภูมิภาค
นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท.คาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ตลาดในภูมิภาค CLMV ทั้งเมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม รวมถึงจีนตอนใต้ จะมีความต้องการมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี ซึ่ง ปตท.มีเป้าหมายจะทำตลาดในระยะแรก โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แม้ว่า ปัจจุบันความต้องการใช้ก๊าซฯทั่วโลกจะลดลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้การใช้พลังงานทั่วโลกลดลง แต่เชื่อว่าความต้องการใช้ก๊าซฯจะกลับมาเป็นปกติได้ในช่วงกลางหรือปลายปี 2564
โดยรูปแบบดำเนินการจะมีทั้งการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG HUB) เพื่อนำเข้าและส่งออก LNG ไปยังประเทศที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ และการเปิดตลาดก๊าซฯในนิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ เช่น เมียนมา ปัจจุบันปตท.ได้เข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในนิคมฯพื้นที่ย่างกุ้ง ที่มีนิคมฯมากกว่า 10 แห่ง และ ปตท.เข้าไปศึกษาแล้ว 2-3 แห่ง เพื่อป้อนก๊าซฯรองรับการใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรม ทั้งการส่งก๊าซผ่านทางท่อ และในรูปแบบของ LNG
อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมาย LNG HUB ในภูมิภาคนั้น ปตท.เตรียมส่งออก LNG เชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 หรือ ปลายปีนี้ ปริมาณ 65,000 ตัน ภายใต้โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการพลังงาน (ERC Sandbox) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใน 2 โครงการที่เกี่ยวข้องกับ Regional LNG HUB หลังจาก ปตท.ได้เริ่มทดลองดำเนินการไปแล้วในช่วงต้นปี2563 ด้วยการนำเข้า LNG แล้วส่งออกไปยังจีนตอนใต้ แต่ติดปัญหาโควิด-19 จึงหยุดแผนทดสอบตลาดไป
สำหรับการทดสอบ ERC Sandbox จะส่งผลสรุปให้กับกกพ.พิจารณาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.2564 ภายใต้เกณฑ์เดิมที่มีอยู่ และอัตราค่าบริการก็เท่ากับอัตราผู้ใช้ในประเทศ ซึ่งในอนาคตหากจะให้ไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ก็อาจจะต้องรอนโยบายสนับสนุนพิเศษจากภาครัฐเพิ่มเติมด้วย ส่วนการทำตลาดก๊าซฯในประเทศไทย ปตท.ยังให้ความสำคัญกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม และเน้นการขายในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม