ฟังคำ 'ธนาธร' รีวิวงบประมาณแผ่นดิน หลังนั่ง กมธ.วิสามัญพิจารณางบปี 2564
"ธนาธร" รีวิวงบประมาณแผ่นดิน โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ย้ำควรทำให้โปร่งใสเพื่อปกป้องพระเกียรติ หวังหน่วยงานร่วมชี้แจงปีถัดไปเหมือนหน่วยรับงบประมาณอื่นๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2563 เวลา 20.00 น. คณะก้าวหน้า โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนางสาวพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ร่วมจัดรายการประจำสัปดาห์ "ก้าวหน้าทอล์ค" ทางเฟซบุ๊กเพจ คณะก้าวหน้า - Progressive Movement โดยรายการในวันนี้ เป็นการร่วมพูดคุยในหัวข้อ "ว่าด้วยภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของประชาชน" ซึ่งนายธนาธร ร่วมเป็นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้หลายโครงการ
- ซัด "กรมชลฯไม่เห็นหัว ปชช. ดันทุรัน "เขื่อนเหมืองตะกั่ว" - ชวนจับตาอีก 60 วัน กก.พิจารณา จะยุติโครงการได้หรือไม่?
นายธนาธร กล่าวถึงการพิจารณางบประมาณปี 2564 กรณีการสร้างเขื่อนเหมืองตะกั่ว จ.พัทลุง ว่า กรรมาธิการได้ตัดงบประมาณในส่วนนี้ออกไปแล้ว และแม้ในภายหลังกรมชลประทานจะพยายามโยกงบประมาณปี 2563 มาเริ่มต้นโครงการ แต่ล่าสุดทางคณะรัฐมนตรีก็ได้มีการระงับโครงการนี้ พร้อมกับตั้งกรรมการศึกษาข้อมูลโครงการขึ้นมาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน
กรณีอย่างนี้ ในทางปฏิบัติเมื่อกรรมาธิการที่เป็นตัวแทนประชาชนที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งให้มาดูแลงบประมาณแทนประชาชน มีมติให้ตัดงบประมาณของโครงการนี้ออกไปแล้ว โครงการนี้ก็ควรจะตกไป แต่ทางกรมชลประทานกลับเดินหน้าโครงการต่อ โดยอาศัยงบประมาณที่เหลือจากปี 2563 มาเริ่มต้นการก่อสร้าง เหมือนการแปะจองโครงการไว้ก่อน ให้เป็นงบผูกพันที่ปีต่อไปจนไม่สามารถตัดงบได้
นี่คือสิ่งที่ตนรู้สึกเหลือเชื่อมาก นี่แปลว่ากรมชลประทานไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เห็นหัวสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชนเลย เห็นได้ชัดเลยว่าข้าราชการไม่แยเแสเสียงตัวแทนของประชาชน ตนตกใจมากว่าทำไมต้องผลักดันโครงการให้ได้ขนาดนี้
"แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระแสสังคมที่ต่อต้านโครงการนี้สูงขึ้น จึงเกิดการประชุมที่นำมาสู่ข้อสรุปในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาโครงการนี้ให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ประเด็นก็คือ ถ้ารัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหานี้ ก็คงจะไม่ต้องใช้เวลาถึง 14 วัน ที่ประชาชนมาร่วมชุมนุมกันตั้งแต่ที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาจนถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล ยอมทนนอนกลางพื้นถนนตากแดดตากฝน ต้องทนยากลำบาก และไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาอะไรแล้ว ถ้าต้องการรู้ตัวนี้ ส่งคนไปดูหน้างานแปปเดียวก็รู้ ใช้เวลาเพียงแค้ห้าวันก็สามารถหาทางออก สามารถเข้าสู่ข้อสรุป
ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นข้อสรุปเดียวกับพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ คือมันไม่มีความจำเป็นต้องสร้าง เพราะพื้นที่นั้นไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจัดการน้ำ การจัดลำดับความสำคัญของการใช้งประมาณเป็นเรื่องสำคัญ ยังมีอีกหลายพื้นที่จริงๆ ที่ควรไปทำ เงิน 650 ล้านบาทนี้เอาไปสร้างที่อื่นได้เยอะแยะเต็มไปหมด โดยเฉพาะในภาคอีสาน เราเห็นการใช้งบประมาณที่ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเสียดายงบประมาณที่สูญเสียตรงนี้ไป” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธร กล่าวทิ้งท้ายถึงกรณีดังกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้รัฐบาลมาฟังเสียงชาวบ้านมากขึ้น มาจากทั้งความเคลื่อนไหวและกระแสสังคมจากทั้งประชาชน นักศึกษา สื่อมวลชน นักวิชาการ ที่ร่วมกันเกาะติดปัญหานี้มาตลอด ตนขอให้เราช่วยกันจับตาในอีก 60 วันข้างหน้าว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ส่วนตนนั้นบอกได้เลย ว่าถ้าตัดสินตามพื้นฐานข้อมูล ฟังเสียงความต้องการของชาวบ้านและประชาชน กรรมการควรจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมาก ว่าโครงการนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น
- ชี้งบสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้น 25% ในรอบปีเดียว กมธ.ไร้คนกล้าตรวจสอบ - หวังหน่วยงานร่วมชี้แจงปีถัดไปเหมือนหน่วยอื่น
นายธนาธร ยังได้กล่าวถึงกรณีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยในส่วนราชการในพระองค์ ซึ่งปี 2564 ตั้งงบประมาณ 8,981 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบประมาณโดยตรงที่มีการจัดสรรให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 20,309 ล้านบาทเท่านั้น แต่หากเมื่อนำไปรวมกับงบประมาณส่วนที่เป็นรายจ่ายโดยอ้อม 16,919 ล้านบาทแล้ว จะเป็นตัวเลขถึง 37,228 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากงบประมาณรายจ่ายปี 2563
ซึ่งในภาวะที่ประเทศเกิดวิกฤติเช่นนี้ พวกเราในฐานะ กมธ. ดูว่าทำอย่างไรให้การใช้งบประมาณที่มีจำกัดเกิดประสิทธิภาพและมีประโยน์ต่อประชาชนสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2564 ที่เราต้องฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด แต่สิ่งที่เราเห็นมาตลอด คืองบประมาณที่ถูกใช้ไปโดยไม่ถูกตรวจสอบมากที่สุด ก็คืองบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งตนต้องย้ำว่า เราพูดด้วยความหวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะถ้าการใช้งบประมาณส่วนนี้เป็นไปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ มีแต่ความไม่โปร่งใส ก็รังแต่จะทำให้เกิดความสงสัยและการตั้งคำถามในหมู่ประชาชน ซึ่งอาจส่งผลต่อพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย ดังนั้นสิ่งที่ตนเรียกร้องคือ การทำให้งบประมาณของส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์กลับเข้ามาอยู่ในการพิจารณางบประมาณตามปกติ เหมือนกับหน่วยรับงบประมาณอื่นๆ ทั่วไป ที่จะทำให้ กมธ.ยืนยันกับประชาชนได้ว่างบประมาณส่วนนี้ถูกใช้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
"แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีใครใน กมธ.กล้าพูดถึงงบประมาณตรงนี้ ปกติเมื่อตั้งคำถามเสร็จจะมีการบันทึกคำถามทุกคำถาม รวมทั้งการขอข้อมูลโดยไว้ แต่กรณีผมที่ได้ขอข้อมูลงบประมาณส่วนราชการในพระองค์ไป เมื่อไปดูในระบบฐานข้อมูลกลับไม่พบว่ามีการบันทึกการขอเอกสารในส่วนนี้ไว้ เมื่อถามกับสำนักงบประมาณว่าเหตุใดเอกสารที่ขอจึงไม่อยู่ในระบบเอกสาร ก็ได้คำตอบกลับมาว่าเดี๋ยวจะขอให้ แต่ขอว่าไม่ลงในระบบได้หรือไม่
นอกจากนี้ ตามปกติก่อนจบกระบวนการพิจารณางบประมาณในส่วนใดก็ตาม จะมีรายงานว่า กมธ.คนใดตั้งข้อสังเกตอะไรไว้บ้าง เพื่อให้ปรับปรุงการจัดทำงบประมาณในปีต่อไป ซึ่งผมได้เขียนข้อสังเกตไปว่า ขอให้ปีงบประมาณหน้าส่วนราชการในพระองค์ได้มาชี้แจงในกระบวนการปกติ ให้เหมือนหน่วยรับงบประมาณอื่นๆ ด้วย
ซึ่งในปีนี้ผู้มาชี้แจงก็คือสำนักงบประมาณ ซึ่งมาชี้แจงแทนเพียงว่า 'ส่วนราชการในพระองค์ในปี 2564 ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ 8,980 ล้านบาท' เท่านั้น ซึ่งผมพยายามที่จะบอกว่านี่คือกระบวนการที่ไม่เหมาะสม แล้วถ้าอยากรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ วิธีเดียวคือทำให้ถูกต้อง เข้าสู่กระบวนการปกติ ชี้แจงงบประมาณให้ กมธ.รับทราบ เปิดเผยข้อมูลเหมือนที่หน่วยงานปกติทำกัน ซึ่งก็หวังว่าปีหน้าส่วนราชการในพระองค์จะฟังและนำความคิดเห็นของตนและไปประยุกต์ใช้บ้าง" นายธนาธร กล่าว
- ย้ำงบประมาณสถาบันฯ ต้องโปร่งใส - ตรวจสอบได้ ป้องกันหน่วยงานแอบอ้าง - พบทุจริตจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ
นายธนาธรกล่าวว่า กลไกใดก็ตามที่ไม่มีการสมดุลทางอำนาจ ไม่มีการตรวจสอบ อาจมีคนที่ไม่หวังดีแอบอ้างชื่อสถาบันพระมหากษัตริย์แอบอ้างแล้วเอางบประมาณส่วนนี้ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและอาจจะนำไปสู่การทุจริตได้ เมื่อไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล งบประมาณส่วนนี้จึงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
เช่น งบประมาณที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง 38 ลำ ที่เป็นส่วนงบประมาณของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในปีงบประมาณ 2564 มีการเสนอค่าใช้จ่ายมาทั้งหมด 1,969 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 1,575 ล้านบาท, ปี 2562 ที่ 1,463 ล้านบาท, และปี 2561 ที่ 1,295 ล้านบาท จะเห็นได้ว่างบประมาณตัวนี้เพิ่มขึ้นถึง 52% ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปีงบประมาณเท่านั้น หรือเพิ่มขึ้นปีละ 13% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ เร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของบประมาณแผ่นดิน และเร็วกว่าอัตราการเติบโตของจีดีพี เสียอีก ตนได้ถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่าเหตุใดงบประมาณส่วนนี้จึงมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้งบประมาณเยอขนาดนี้เลยหรือ คำตอบที่ตนได้รับคือปีหน้าจะพยายามให้ไม่เพิ่มขึ้นสูงเช่นนี้
"นี่คือกลไกของการตรวจสอบถ่วงดุล การตั้งงบประมาณที่เกี่ยวกับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระมหากษัตริย์คงไม่ได้มาตั้งเอง หน่วยงานที่ใช้เป็นคนตั้งขึ้นมา ซึ่งการเพิ่มปีละ 13% ภายใน 4 ปีเพิ่มขึ้น 52% นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก และไม่ได้มีแค่ส่วนราชการในพระองค์ ไม่ใช่มีแค่งบเกี่ยวกับเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง แต่มันยังมีงบประมาณอื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดที่อ้างใช้ในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะพี่น้องประชาชนหลายคนสงสัยว่าทำไมงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถบันพระมหากษัตริย์ถึงเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานราชการ เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่ตั้งขึ้นมาเอง แล้วก็มีการแอบอ้างชื่อไปใช้
สิ่งที่เราต้องกังวลในฐานะประชาชนคนไทย ก็คืองบประมาณที่ถูกใช้ไปในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้ามีการทุจริตคอรัปชั่น ถ้ามันมีการใช้จ่าย จัดซื้อจัดจ้างที่แพงเกินจริงขึ้น จะส่งผลกระทบถึงพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าเราอยากจะปกป้องพระเกียรติจริงๆ เรื่องพวกนี้ต้องเปิดให้ตัวแทนของประชาชนตั้งคำถามได้ ต้องเปิดให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคำถามได้ เหมือนกับหน่วยงานอื่นทั่วไป จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ประชาชนจะได้ประโยน์ สถาบันก็จะไม่มีคนมาแอบอ้างชื่อสถาบันไปใช้ในทางที่อาจจะทำให้เสื่อมเสียได้" นายธนาธร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับอีกช่วงหนึ่งของรายการ เป็นการพูดคุยกับนักเรียนหญิง อายุ 18 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จาก จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าของรูปภาพแผ่นหลังยืนชู 3 นิ้วท่ามกลาง นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่มาร่วมชุมนุมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก โดยในวันที่ 5 กันยายน ซึ่งจะมีกิจกรรม #หนูรู้หนูมันเลว ซึ่งเป็นการชุมนุมของกลุ่มนักเรียนเลว ในเวลา 15.00 น. ที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ถ.ราชดำเนินนอก เธอจะร่วมขึ้นเวทีปราศรัยในกิจกรรมดังกล่าวด้วย