‘มอร์แกน สแตนลีย์’ ชี้แนวโน้มเกิด no-deal Brexit
‘มอร์แกน สแตนลีย์’ เพิ่มแนวโน้มเกิด no-deal Brexit หลังอังกฤษ-อียูเจรจาไม่คืบ
มอร์แกน สแตนลีย์ออกรายงานระบุว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) ซึ่งจะทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและ อียูอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน
รายงานระบุว่า มีแนวโน้มมากถึง 40% ที่จะเกิดสถานการณ์ดังกล่าว
“ถึงแม้เรายังคงคาดการณ์ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันในท้ายที่สุด แต่ความเป็นไปได้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว” รายงานระบุ และเสริมว่า มีแนวโน้มที่การทำข้อตกลงใดๆจะล่าช้าออกไป
นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ยังคาดการณ์ว่า จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิด no-deal Brexit และทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและอียูอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของดับเบิลยูทีโอหากรัฐบาลอังกฤษมองว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
มอร์แกน สแตนลีย์ยังคาดว่า ปอนด์จะดิ่งลง 10% สู่ระดับ 1.15 ดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์ หากเกิด no-deal Brexit และจะทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษทรุดตัวลง 20% แต่หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้ปอนด์แข็งค่าสู่ระดับ 1.40 ดอลลาร์ และหุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น 20-40%
ด้านนายมิเชล บาร์นิเยร์ หัวหน้าผู้แทนการเจรจาการค้าฝ่ายอียู กล่าวว่า อียูกำลังเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ no-deal Brexit โดยนายบาร์นิเยร์ได้จัดการเจรจาการค้ากับนายเดวิด ฟรอส ผู้แทนการเจรจาฝ่ายอังกฤษ เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการเจรจาเป็นรอบที่ 8 แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า อียู ได้แสดงความยืดหยุ่นต่ออังกฤษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องด้านการประมง และในด้านอื่นๆ แต่ทางฝ่ายอังกฤษไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับแต่อย่างใด
“ทุกคนไม่ควรประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์ no-deal Brexit” นายบาร์นิเยร์ กล่าว
ภายใต้เงื่อนไขเบร็กซิท ทั้งอังกฤษและอียูจะต้องบรรลุข้อตกลงการค้าภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายต่อการค้าระหว่างอังกฤษและ อียูในช่วงเริ่มต้นปี 2564 และจะซ้ำเติมเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะนี้ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโควิด-19