ผลโพลชี้ ปชช. 88% ยืนยัน ยังตั้งการ์ดรับโควิด
ผลโพลชี้ ปชช. 88% ยังตั้งการ์ดรับโควิด และกว่าครึ่งกังวลว่า ผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงอาจปิดบัง/ไม่ปฏิบัติตามกฎ จนเกิดความเสี่ยงระบาดรอบ 2
กรุงเทพโพลล์ โดย ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “คนไทยการ์ดตกหรือยัง” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,215 คน พบว่า
จากมาตรการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยลดน้อยลงหรือเป็นศูนย์ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่ารักษาพฤติกรรมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเท่าเดิม โดย 3 อันดับแรก คือ ล้างมือ-กินร้อน-ช้อนใครช้อนมัน ร้อยละ 88.1 รองลงมาคือ เก็บตัวอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบายร้อยละ 82.2 และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ร้อยละ 80.9
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า พฤติกรรมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่ประชาชนยอมรับว่าปฏิบัติลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ การเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างน้อย 1-2 เมตร โดยลดลงร้อยละ 28.2 รองลงมาคือ นั่งทานอาหารห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร ลดลงร้อยละ 23.5 และเช็คอินไทยชนะ/ลงทะเบียน ก่อนเข้าสถานที่ต่างๆ ลดลงร้อยละ 17.7
ส่วนสถานการณ์ที่กังวลว่าจะทำให้การด์ตก จนเกิดความเสี่ยงต่อการเกิด COVID-19 รอบ 2 ในประเทศไทยมากที่สุด คือ การปิดบัง/ไม่ปฏิบัติตามกฎ จากผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการต้องสงสัยแต่ไม่แจ้ง ร้อยละ 56.0 รองลงมาคือ พฤติกรรมการป้องกันตนเองของคนในประเทศลดลง ร้อยละ 33.2 และการเข้าไปอยู่ในที่ชุมนุมชน มีการรวมกลุ่มในพื้นที่จำกัด เช่น ผับ บาร์ เพราะอาจเจอ super spread ร้อยละ 32.3
สำหรับมาตรการกระตุ้นไม่ให้คนไทยการ์ดตกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด COVID-19 รอบ 2 คือ ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชน ร้อยละ 55.5 รองลงมาคือ ควรแสดงให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากเกิด COVID-19 รอบ 2 ร้อยละ 49.8 และควรประชาสัมพันธ์ ตามสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองจากเชื้อ COVID-19 อยู่เสมอร้อยละ 44.7
โดยมีรายละเอียดตามประเด็นข้อคำถาม ดังต่อไปนี้
1. จากมาตรการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ลดน้อยลงหรือเป็นศูนย์ ท่านรักษาพฤติกรรมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค อย่างไร
- ล้างมือ-กินร้อน-ช้อนใครช้อนมัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 / เท่าเดิมร้อยละ 88.1 / ลดลงร้อยละ 7.4
- เก็บตัวอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 / เท่าเดิมร้อยละ 82.2 / ลดลงร้อยละ 5.9
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 / เท่าเดิมร้อยละ 80.9 / ลดลงร้อยละ 10.4
- เช็คอินไทยชนะ/ลงทะเบียน ก่อนเข้าสถานที่ต่างๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 / เท่าเดิมร้อยละ 77.1 / ลดลงร้อยละ 17.7
- ล้างมือบ่อยๆ โดยใช้สบู่ หรือ เจลแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 / เท่าเดิมร้อยละ 76.7 / ลดลงร้อยละ 15
- หลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 / เท่าเดิมร้อยละ 75.2 / ลดลงร้อยละ 12.2
- นั่งทานอาหารห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 / เท่าเดิมร้อยละ 72.9 / ลดลงร้อยละ 23.5
- ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่ไอ จาม เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.6 / เท่าเดิมร้อยละ 70.1 / ลดลงร้อยละ 4.3
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และมีมลภาวะเป็นพิษ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 / เท่าเดิมร้อยละ 69.8 / ลดลงร้อยละ 13.4
- การเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างน้อย 1-2 เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 / เท่าเดิมร้อยละ 66.8 / ลดลงร้อยละ 28.2
2. สถานการณ์ที่กังวลว่าจะทำให้การด์ตก จนเกิดความเสี่ยงต่อการเกิด COVID-19 รอบ 2 ในประเทศไทยมากที่สุด (เลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ)
- การปิดบัง/ไม่ปฏิบัติตามกฎ จากผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการต้องสงสัยแต่ไม่แจ้ง ร้อยละ 56.0
- พฤติกรรมการป้องกันตนเองของคนในประเทศลดลง ร้อยละ 33.2
- การเข้าไปอยู่ในที่ชุมนุมชน มีการรวมกลุ่มในพื้นที่จำกัด เช่น ผับ บาร์ เพราะอาจเจอ super spread ร้อยละ 32.3
- อื่นๆ อาทิ ประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศไทย ร้อยละ 2.5
3. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด COVID-19 รอบ 2 ควรมีมาตรการอย่างไรกระตุ้นไม่ให้คนไทยการ์ดตก (เลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ)
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามข้อเท็จ จริงแก่ประชาชน ร้อยละ 55.5
- แสดงให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากเกิด COVID-19 รอบ 2 ร้อยละ 49.8
- ประชาสัมพันธ์ ตามสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเองจากเชื้อCOVID-19 อยู่เสมอ ร้อยละ 44.7
- ตรวจสอบ สถานที่ต่างๆ เป็นประจำ เช่น ห้าง สถานบันเทิง ร้านอาหาร และลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรน ร้อยละ 44.6
- มาตรการที่มีอยู่ในขณะนี้ดีอยู่แล้ว ร้อยละ 19.6
- อื่นๆ อาทิ ควรมีมาตรการที่ชัดเจน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศให้ปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น ตรวจตามด่านชายแดนที่อาจมีผู้ติดเชื้อการลักลอบเข้ามา มีระบบคัดกรองตามจุดสำคัญๆ ให้เข้มข้นขึ้น ฯลฯ ร้อยละ 2.2
ทั้งนี้ การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 28-30 กันยายน 2563
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 3 ตุลาคม 2563