ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด พรก.ประมงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด พรก.ประมง พ.ศ.2558 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อัตราโทษปรับเป็นไปตามหลักนิติธรรมปูทางสู่เป้าหมายการปฏิรูปประมงของประเทศที่ยั่งยืน
นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษาสำนักงานต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 14/2563 เรื่องพระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558 มาตรา 151 วรรค 4 ซึ่งเกี่ยวกับการติดตั้งระบบติดตามเรือประมง (VMS) ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยกำหนดให้เจ้าของเรือที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยต้องติดตั้งระบบติดตามเรือประมงและดูแลให้ระบบดังกล่าวสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำและการทำประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 ตามที่ให้สัตยาบันไว้ และปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรประมงของประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
จึงมีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดการประมงในเรื่องระบบบริหารจัดการการทำการประมง จัดระบบติดตามตรวจสอบ ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมงในเขตน่านน้ำไทยและนอกน่านน้ำไทย และกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์และบริหารจัดการแหล่งทรัพยากรประมงและสัตว์น้ำให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยกำหนดมาตรการควบคุม เฝ้าระวัง สืบค้นและตรวจสอบการประมงอันเป็นการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับบทกำหนดโทษได้แก้ไขปรับปรุงโดยเฉพาะโทษทางอาญาให้เหมาะสมและได้สัดส่วนกับการกระทำความผิดด้วยเช่นกัน
“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่าพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 อธิบายความเจตนารมณ์ของการ " ปฏิรูป " ประมงได้ชัดเจนมาก และมีผลผูกพันกับทุกองค์กร ที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการ " ปฏิรูปประมง "ในรอบ 70 ปี อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน ในเรื่องบทลงโทษปรับตาม พรก.ประมงฯ ถ้าพิจารณาถึงการคงไว้ซึ่งทรัพยากรสัตว์น้ำของประเทศในระยะยาวให้เกิดความยั่งยืน และเป็นไปตามหลักนิติธรรม เนื่องจากอัตราส่วนสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นโดยเฉพาะขนาดเรือ เช่น เรือขนาดตั้งแต่ 150 ตันกรอสขึ้นไป ต้องระวางโทษปรับ 4 ล้านบาท ตามมาตรา 151 วรรค 4 แม้จะเป็นอัตราค่าปรับจำนวนสูงและมีลักษณะเป็นการกำหนดโทษปรับอัตราเดียวโดยไม่มีกำหนดเพดานขั้นต่ำขั้นสูงก็ตาม แต่เป็นไปตามหลักการกำหนดโทษหนักเบาตามขนาดของเรือที่สอดคล้องกับมูลค่าของสัตว์น้ำที่ได้จากการกระทำผิด
ดังนั้น ถือว่าคำวินิจฉัยนี้เป็นการเลิกวาทกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะทำตามอียูสั่ง หรือโทษปรับสูงเกินกว่าจะรับได้ ไม่ตามหลักนิติธรรม รวมถึงรังแกชาวประมงบางส่วนที่ยังไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย