สร้างภูมิคุ้มกันความปลอดภัยทางถนนแก่เยาวชน
สสส.หนุนปลูกจิตสำนึกความปลอดภัยทางถนน
สานต่อโครงการอารักข์ เน้นสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่เยาว์วัย
ปัญหาการตายจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย จากการบูรณาการข้อมูลการตาย 3 ฐาน พบว่า ในระยะเวลา 9 ปี (พ.ศ.2554 –2562) มีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน 188,758 คน เฉลี่ยปีละ 20,973 คน โดยกลุ่มอายุตายสูงสุด เป็นเด็กและเยาวชนอายุ 10-19 ปี สูงถึง 26,126 คน หรือคิดเป็นเฉลี่ย 2,902 คนต่อปี จากการประมาณการตายจากอุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มเด็กและเยาวชน 10 – 19 ปี โดยการวิเคราะห์อนุกรมเวลา Time series ในช่วง11 ปีต่อจากนี้ (ปี 2564 – 2573) หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จะมีเด็กและเยาวชนไทยตายจากอุบัติเหตุทางถนน 40,421 คน หรือเฉลี่ยปีละ 3,674 คน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม เล็งเห็นความสำคัญของอุบัติเหตุทางถนน จึงสนับสนุนการดำเนินโครงการพัฒนาจิตสำนักเพื่อรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงทางสังคม (อุบัติเหตุทางถนนและการพนัน) หรือโครงการอารักข์ เพื่อออกแบบและพัฒนาสื่อชุดกิจกรรมในสถานศึกษาในการพัฒนาจิตสำนึก และรู้เท่าทันสามารถดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากท้องถนนในกลุ่มเด็กวัยอนุบาลและประถมศึกษาตอนต้น เนื่องจากเป็นวัยที่สำคัญในการวางรากฐานการเรียนรู้เพื่อให้มีทักษะชีวิตที่มั่นคงปลอดภัย เมื่อเติบโตขึ้นก็จะมีภูมิคุ้มกันจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยโครงการฯ ได้ประสานงานร่วมกับ นายโทโมอากิ โกโตะ ประธานบริษัท เอ็กเซดี้ เอ็นจิเนียริ่ง เอเชีย จำกัด นำหลักสูตร School Safety ของประเทศญี่ปุ่น มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรม
ล่าสุด โครงการอารักข์ ได้ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 และ บริษัท เอ็กเซดี้ เอ็นจิเนียริ่งเอเชีย จำกัด จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ประกอบชุดจำลองสัญญานไฟจราจร เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนความปลอดภัยทางถนนผ่านกิจกรรมสถานการณ์จำลอง โดยมีนักเรียนจากศูนย์ฝึกอาชีพนักเรียนเก่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี จำนวนกว่า 17 คน เข้าฝึกอบรมพร้อมทีมวิศวกรจาก เอ็กเซดี้ เอ็นจิเนียริ่ง เอเชีย จำกัด ที่มาให้ความรู้ด้านช่างไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด
ชุดจำลองสัญญานไฟจราจร จะเป็นสื่อประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ ที่จะจัดอบรมในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ และส่งมอบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ภายใต้กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 เพื่อให้โรงเรียนครู เด็กและชุมชนมีส่วนร่วมส่งเสริมความรู้เท่าทันและเข้าร่วมเป็นเครือข่ายการใช้ชุดกิจกรรมป้องกันภัยจากอุบัติเหตุทางถนน และศูนย์ฝึกเด็กเล็กที่จะเข้าร่วมรับการอบรมในเดือนเมษายน ในปี 2564
“ขอบพระคุณทางโครงการอารักข์ที่ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทักษะวิชาชีพทางด้านไฟฟ้า ทำให้เรามีพื้นฐานด้านช่างไฟฟ้าเพิ่มเติมจากทักษะด้านเกษตรกรรม และรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบชุดแบบจำลองสัญญาณไฟจราจรที่จะนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ให้กับน้อง ๆ วัยอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งน้อง ๆ จะได้สนุกกับการเรียนรู้ว่าแต่ละสีของไฟจราจรหมายถึงอะไรและควรปฏิบัติอย่างไร” ด.ญ.นุชนารถ สีวังราช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ศูนย์ฝึกอาชีพนักเรียนเก่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน กองกำกับการตำรวจตระเวนภาค 1 เผยความรู้สึกต่อการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
นายณัฐพล-ณัฐ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 กล่าวเสริมว่า ดีใจมากครับที่ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม มั่นใจว่าจะสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทั้งการซ่อมแซมอะไรเล็กๆน้อย ๆ อนาคตก็ฝันอยากจะเป็นช่างซ่อมประจำหมู่บ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงของตนที่อำเภอสังขละบุรี และภายหลังจบการศึกษา หากพอมีทุนก็อยากจะทำธุรกิจด้านการเกษตรควบคู่กันไปด้วย ที่นี่นอกจากเราจะได้รับการศึกษาผ่านระบบการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) แล้ว ยังได้รับการฝึกอบรมด้านอาชีพ โดยเน้นด้านเกษตรกรรมเป็นหลักและยังมีรายได้จากการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งหากไม่ได้เรียนต่อก็สามารถนำทักษะเหล่านี้ประกอบอาชีพที่บ้านเกิดได้
พ.ต.อ. ประกอบ พลเตชา รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 กล่าวว่า โครงการอารักข์ จะช่วยเพิ่มทักษะวิชาชีพด้านช่างไฟฟ้าให้กับนักเรียนของเราแล้ว กิจกรรมนี้จะทำให้นักเรียนของเรามองเห็นภาพในเชิงวิชาชีพด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น จากอาชีพด้านเกษตรกรรมที่ดำเนินการอยู่แล้ว โดยยังสามารถเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของเด็ก ๆได้ ถ้าไม่มีต้นทุนเลยการกลับออกไปพัฒนาพื้นที่ชายแดนบ้านเกิดของเขาก็คงทำได้ยาก สุดท้ายเขาก็จะกลับเข้าไปสู่วังวนเดิม โดยอาจจะบุกรุก เผาป่า ทำไร่เลื่อนลอย สร้างมลพิษทางอากาศให้กับสังคม โครงการนี้ จึงสร้างประโยชน์ให้ถึง 3 ประการด้วยกัน คือ 1.เพิ่มทักษะวิชาชีพด้านช่าง 2. สร้างรายได้ และ 3.ประโยชน์ต่อสังคมด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ด้าน ดร.อัญญมณี บุญซื่อ หัวหน้าโครงการอารักข์ กล่าวว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นการขยายผลต่อจากการทำสื่อของโครงการ จึงต้องการให้อุปกรณ์มีมาตรฐานมากขึ้น ได้ประสานไปยังคุณโทโมอากิ โกโตะ ประธานบริษัท เอ็กเซดี้ เอ็นจิเนียริ่ง เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการ ได้ให้ความอนุเคราะห์ส่งทีมวิศวกรมาช่วยออกแบบและให้ความรู้กับน้อง อนาคตที่นี่ก็จะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงสื่อการสอนนี้ให้กับโรงเรียนต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ หลังจากนี้ไปมีแผนจะขยายผลโครงการไปยังโรงเรียนใน บก.ตชด. ภาค 2
“ สิ่งที่เราค้นพบจากการศึกษาประมาณ 2 ปี พบว่า เด็กจะต้องปฏิบัติจริง การที่จะมาบอกว่าระวังมันไม่ดีนะ อันตรายนะ เด็กจะไม่จำ เขาจะฟังแบบเพลินๆไป แต่ไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งนั้นมันอันตรายจริงๆ แต่ถ้าเด็กเป็นคนที่ปฏิบัติด้วยตัวเอง เด็กจะรู้เลยว่า แดง คือ อะไร ถ้ามีคนกดสีแดงแล้วให้เด็กหยุด เทียบกับการที่เด็กกดเองแล้วหยุดเอง ความรู้สึกถึงคำว่าสีแดงว่ามันมีอันตรายจะมีมากกว่าที่คนอื่นกดไฟให้เขาหยุด นี่จึงเป็นเหตุผลของวิธีการที่เราจะเน้นการปฏิบัติเพื่อให้เด็กจดจำในระดับจิตใต้สำนึก” ดร.อัญญมณี กล่าว