จับตาประชุม ศบค.วันนี้ถกลดระยะเวลากักตัว หวังดึงนักท่องเที่ยว-นักธุรกิจต่างชาติเข้าไทยเพิ่ม

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ "ศบค." ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ (21 ต.ค.) จะมีการหารือเรื่องการผ่อนคลายให้นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาพำนักในประเทศไทยเพิ่มเติมหลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมณะกรรมการศูนย์บริหารสถารการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากโควิด-19 (ศบศ.) ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าว

โดยการผ่อนคลายระยะเวลาการกักตัวให้ลดน้อยกว่า 14 วันถือเป็นแนวทางที่นายกรัฐมนตรีๆได้ให้แนวทางว่าให้ทำให้ชัดเจน เช่น การลดระยะเวลากักตัวเหลือ 10 - 7 วัน

ส่วนกรณีของนักธุรกิจ นักลงทุน หรือช่างเทคนิคที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลาสั้นอาจเป็นการตรวจหาเชื้อซ้ำ 2 ครั้งแล้วให้ชาวต่างชาติเดินทางภายในประเทศไทยได้ โดยอาจจะยังมีความจำเป็นต้องมีคณะติดตามเพื่อให้นักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาไม่ออกนอกเส้นทาง 

นอกจากนี้ที่ประชุมจะหารือกันในแนวทางเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทการบินไทยกรณีให้บริการเช่าเหมาลำ นำนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจต่างชาติในประเทศที่คุมการระบาดได้ดีใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น ประเทศสวีเดน และจีนบางมณฑล ที่มีไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เลย ก็อาจพิจารณาให้การบินไทยนำผู้โดยสารจากพื้นที่นั้นๆเข้าประเทศ โดยให้การบินไทยทำเป็นแพคเกจในการให้บริการจากต้นทางถึงการเข้าพักโรงแรมในประเทศไทย 

โดยรูปแบบนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประเทศและเพิ่มรายได้ให้กับการบินไทย ในช่วงที่องค์กรยังคงประสบวิกฤตอยู่ในขณะนี้ 

ก่อนหน้านี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะเสนอ ศบศ.และ ศบค.พิจารณาหลักเกณฑ์และข้อปฏิบัติในการเปิดรับนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเพิ่มเติม 

รวมทั้งอาจพิจารณารายละเอียดของวีซ่าพิเศษ (STV) ที่จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าไทยเพิ่มเติมหลังจากผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติที่มาพำนักในไทยระยะยาว ซึ่งเป็นการผ่อนคลายเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้มากขึ้นตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้ โดยมาตรการทั้งหมดต้องมีความชัดเจนในสัปดาห์นี้