ปีทอง‘หุ้นยางพารา’ดีมานด์พุ่ง-ราคาขายกระฉูด
ปีนี้ถือเป็น “ปีทอง” ของหุ้น “กลุ่มยางพารา” หลังราคาหุ้นแต่ละตัวไม่มีใครยอมใคร ใส่เกียร์เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สวนทางดัชนี SET Index และอีกหลายๆ กลุ่มที่ถูกพิษโควิด-19 เล่นงานจนซึม
โดยราคาหุ้นเริ่มออกสตาร์ทขยับปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน เม.ย. หลังการระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย นำทีมด้วยพี่ใหญ่ประจำกลุ่ม บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งมาพร้อมกับสตอรี่หุ้นลูก บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ที่กำลังจะเข้าตลาดในเดือน ก.ค.
และต้องบอกว่า “มาถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” เพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ “ถุงมือยาง” ซึ่งเป็นสินค้าหลักของ STGT เพิ่มขึ้นมหาศาลจนผลิตแทบไม่ทัน ดังนั้น STGT ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางอันดับ 1 ของไทย และ อันดับ 3 ของโลกจึงได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ
แน่นอนว่าประโยชน์ที่ลูกได้รับ ย่อมส่งต่อไปถึงหุ้นแม่ STA ที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามา ตามสัดส่วนการถือหุ้น STGT อยู่ 50.75% ยิ่งลูกขายของได้มากเท่าไหร่ กำไรดีเท่าไหร่ แม่จะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้น จึงขอยกตำแหน่ง “ลูกดีเด่นแห่งปี” ให้ STGT ไปเลย
ขณะที่ราคาหุ้นแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่ธรรมดา เริ่มจาก STA ที่ปีนี้ราคาพุ่งติดจรวดกว่า 200% จากราคาปิดปี 2562 ที่ 10 บาท มาทำออลไทม์ไฮ 33.75 บาท ระหว่างการซื้อขายล่าสุด (22 ต.ค.) ส่วน STGT ไม่น้อยหน้า แม้ว่าจะเข้าเทรดมาได้ไม่ถึง 4 เดือนเต็ม แต่ราคาทะยานขึ้นมาแล้วกว่า 160% จากราคาไอพีโอที่ 34 บาท มาปิดล่าสุดที่ 88.75 บาท
ส่วนบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ขายน้ำยางดิบ แต่ไซส์เล็กลงมาหน่อย ราคาหุ้นเดินตามรอย STA และ STGT มาติดๆ แต่ความผันผวนจะมากกว่า มีจังหวะปรับฐานเป็นระยะๆ
โดยเฉพาะช่วงประกาศงบฯไตรมาส 2 ที่ขาดทุนกว่า 55 ล้านบาท จากผลผลิตยางออกมาน้อย เลยทำให้นักลงทุนแห่ขายหุ้นจ้าละหวั่น จากที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุด 2.34 บาท ลงมาเหลือแถวๆ 1 บาท แต่ตอนนี้เริ่มเห็นการฟื้นตัวอีกครั้ง ตามดีมานด์และราคายางที่เพิ่มขึ้น โดยปิดเทรดล่าสุดที่ 1.91 บาท
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER สงสัยเครื่องจะร้อนช้า เพราะออกสตาร์ทหลังสุด ปล่อยให้เพื่อนๆ วิ่งนำไปก่อน แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะเมื่อเครื่องติดแล้ว ปรากฎว่าแรงยิ่งกว่าติดเทอร์โบ วอลุ่มแน่นมาหลายวันติด
กำลังรวบรวมพลังเพื่อผ่าแนวต้านด่านสำคัญที่ 5 บาท แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่งานง่าย เห็นได้จากการซื้อขายล่าสุด ที่มีแรงเทขายช่วงท้ายตลาด หลังขึ้นแตะออลไทม์ไฮที่ 4.96 บาท ก่อนย่อลงมาปิดที่ 4.76 บาท ลดลง 0.08 บาท หรือ 1.65%
ดูเกมแล้วสตอรี่ของ NER ไม่น่าจะต่างจาก STA มาก เพราะเตรียมต่อยอดธุรกิจจากต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำให้ครบวงจร จากปัจจุบันที่เป็นทั้งผู้ผลิตและส่งออกยางพารา ทั้งยางแผ่นรมควัน, ยางแท่ง, ยางผสม แต่ส่วนใหญ่จะขายให้กับลูกค้าคนกลางในประเทศจีนและสิงคโปร์เพื่อนำไปขายต่อ ทำให้ความผันผวนค่อนข้างสูง
แต่ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าเริ่มเปลี่ยนไป มีลูกค้าโดยตรงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตยางรถยนต์ในประเทศจีน นอกจากนี้ บริษัทเริ่มขยับตัวไปสู่ธุรกิจปลายน้ำ ประเดิมด้วย “ยางแผ่นรองนอนสัตว์” ซึ่งจะช่วยให้สัตว์เลี้ยงอย่างวัวผ่อนคลาย มีสุขภาพดี ทำให้ผลิตน้ำนมได้มากกว่าปกติ
โดยตั้งเป้าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ NER เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 25% เทียบกับธุรกิจหลักในปัจจุบันที่ราว 12-13% เท่านั้น
จะเห็นว่าแต่ละบริษัทมีดีแตกต่างกันไป แต่ด้วยพื้นฐานธุรกิจที่เข้ากับสถานการณ์ยิ่งทำให้หุ้นยางพาราน่าสนใจ ทั้งถุงมือยางที่กลายเป็นสินค้าดาวเด่นยุคโควิด-19 ขณะที่การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนตร์ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่หลายประเทศกำลังให้การสนับสนุน ทำให้ตลาดยางล้อรถยนต์คึกคักไปด้วย
และยิ่งช่วงนี้ราคายางยังขึ้นไม่หยุด เนื่องจากฝนตกชุกกว่าทุกปี ส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย สวนทางดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น หนุนราคาทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี จ่อทะลุกิโลกรัมละ 65 บาท ถือเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรชาวสวนยาง และบริษัทผู้ผลิตและส่งออกยางพาราทุกราย